ผมเคยลองคิดเล่นๆ ว่า หากมีเงินทุนจำนวนมาก
แล้วทำธุรกิจอะไรที่ทำแล้วมีโอกาสร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้บ้าง
เลยค้นคว้าข้อมูลจากอันดับเศรษฐีของโลก และเศรษฐีของไทยดูว่าเค้าทำอะไรกัน ลองมาค้นหาจุดดีจุดเด่นกัน
เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก คือ คาร์ลอส สลิม ชาวแม็กซิโก ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสาร ก่อนหน้านี้อยู่อันดับ 3 เพิ่งแซงบิล เบตส์ มาอยู่ในอันดับ 1 ไม่นาน
เศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือ บิล เกตต์ ชาวอเมริกา ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์
บริษัทผลิต และพัฒนาซอฟท์แวร์รายใหญ่ของโลก
การเรียนไม่จบไม่ใช่อุปสรรคในการธุรกิจแต่อย่างใด ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ของโลกก็ล้วนแต่ลงระบบปฏิบัติการวินโดว์ของเค้านี่แหละ
เศรษฐีอันดับ 3 ของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชาวอเมริกา เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาที่เริ่มต้นด้วยเงินเพียงไม่กี่พันบาท
จากการที่ลงทุนสไตล์ Value Investor จนประสบความสำเร็จ เขียนหนังสือสอนการลงทุนมากมาย
รวมถึงเป็นเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งทำธุรกิจซื้อหุ้นพื้นฐานดี
ในตอนราคาถูก หุ้นของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เป็นหุ้นที่ราคาแพงที่สุดในตลาดหุ้นอเมริกา
หุ้นละ 3 ล้านบาทเชียว
เศรษฐีอันดับ 4 ของโลก คือ เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ ชาวฝรั่งเศส
ชื่อนี้หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าเค้านี่แหละเป็นเจ้าของหลุยส์ วิตตอง ,
ดีออร์ และอื่นๆ อีกมากมายเกี่ยวกับน้ำหอม และเครื่องแต่งกายแบนด์เนม
คงช่วยให้นึกออก
เศรษฐีอันดับ 5 ของโลก คือ อมันซิโอ ออร์เตกา ชาวสเปน ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเสื้อผ้าแบนด์เนม
“ซาร่า” เพิ่งขึ้นมาติดอันดับต้นๆ เป็นครั้งแรก
หลังจากอ่านที่มาที่ไปของเศรษฐีโลก จะเห็นได้ว่า มีเศรษฐีถึง 2 คน รวยล้นฟ้าจากการลงทุนในธุรกิจกลุ่มสื่อสาร
และคอมพิวเตอร์ เพราะคนอเมริกาเน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่วนเศรษฐีอีก 2 คน รวยมาจากธุรกิจแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
และน้ำหอม เพราะทางยุโรปเน้นแฟชั่น และเครื่องแต่งกายเป็นพิเศษ ดูอย่างประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น
ถึงแม้เศรษฐีเหล่านั้นจะไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงเหมือนวอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่มีบริษัทจดทะเบียนเข้าในตลาดหุ้น ประชาชนทั่วไปต่างสนใจอยากร่วมลงทุนในธุรกิจเหล่านั้น ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็สามารถงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว และอีกคนรวยมาจากการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินลงทุนไม่กี่พันบาทก็รวยล้นฟ้าได้ไม่แพ้กัน
ถึงแม้เศรษฐีเหล่านั้นจะไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงเหมือนวอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่มีบริษัทจดทะเบียนเข้าในตลาดหุ้น ประชาชนทั่วไปต่างสนใจอยากร่วมลงทุนในธุรกิจเหล่านั้น ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็สามารถงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว และอีกคนรวยมาจากการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินลงทุนไม่กี่พันบาทก็รวยล้นฟ้าได้ไม่แพ้กัน
********************************************************************************
ลองมาดูเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศไทยกัน เป็นใครกันบ้าง
แล้วทำธุรกิจอะไร ทำไมเค้าถึงรวยล้นฟ้า
เศรษฐีอันดับ 1 ของไทย คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ หรือที่หลายคน
เรียกว่า “เจ้าสัวซีพี” ทำธุรกิจผูกขาดสินค้าเกษตร อาทิเช่น อาหารสัตว์ ,
เนื้อสัตว์ , เมล็ดพันธุ์พืช , พืชผักสด , แฟรนไชส์ร้าน 7-11 , ไก่ย่างห้าดาว
รวมถึงบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นด้วย ก่อนหน้านี้เคยอยู่ตำแหน่งที่ 3 มาตลอด
จนกระทั่งแซงขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ได้ ถือว่า เก่งกาจทีเดียว
เศรษฐีอันดับ 2 ของไทย คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี หรือที่หลายคน
เรียกว่า “เจ้าสัวเจริญ” เจ้าของธุรกิจไทยเบฟเวอเรจ เครื่องดื่มเบียร์ช้าง
ถือว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญของเบียร์สิงห์ ถึงเบียร์ช้างจะเข้ามาทีหลัง
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการกินส่วนแบ่งตลาด นอกจากการขายเบียร์ในราคาถูกกว่า
แล้วยังเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลเอฟเวอร์ตันของอังกฤษอย่างทางการ ถึงว่าเป็นการตลาดที่ชาญฉลาด
บริษัทไทยเบฟเวอเรจได้เข้าตลาดหุ้นที่สิงคโปร์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้เทคโอเวอร์แบนด์โออิชิ
บริษัทผลิตชาเขียว และร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ของคุณตัน ภาสกรนที อีกด้วย
เศรษฐีอันดับ 3 ของไทย คือ เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง
กระทิงแดง แล้วไปโด่งดังในเมืองนอกในนาม “เรดบลู” ถึงแม้ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังจะมีคู่แข่งมากมาย
แต่การผลักดันกระทิงแดงโกอินเตอร์ ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญก็ว่าได้
แม้จะไม่มีหุ้นในตลาดเมืองไทยก็ตามเถอะ
เศรษฐีอันดับ 4 ของไทย คือ อาลก โลเฮีย
ชาวอีนเดียเพียงไม่กี่คนที่ถูกจัดในอันดับเศรษฐีไทย เจ้าของธุรกิจอินโดรามา
เวนเจอร์ส ผลิตขวด PET หรือขวดพลาสติกใสที่ใช้บรรจุน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มต่างๆ
หลายคนสงสัยลองสังเกต ให้พลิกขวดน้ำเปล่าขึ้นมาลองดู จะเห็นคำว่า “PET” ภายในเครื่องหมายสามเหลี่ยม ปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มโตวันโตคืน แข่งขันกันสูง
แล้วผลิตขวดพลาสติกส่งอย่างเดียวยังแทบไม่ทัน แล้วจะไม่รวยไม่ไง
เศรษฐีอันดับ 5 ของไทย คือ กฤตย์
รัตนรักษ์ หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธุรกิจช่อง 7, มีเดียออฟมีเดียส์ และปูนซีเมนต์นครหลวง
หรือที่หลายคนรู้จัก “ปูนตรานกอินทรี” ในอดีตเคยเป็นเจ้าของธนาคารกรุงศรีอยุธยามาก่อน
หลังจากอ่านที่มาที่ไปเศรษฐีไทย จะเห็นได้ว่า มีเศรษฐีถึง 2 คน
รวยล้นฟ้าจากการลงทุนในธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่ม ถึงแม้จะถูกปฏิเสธจากการจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น
เพราะเป็นธุรกิจที่ผิดศีลก็ตาม อาลกก็เป็นอีกคนที่พลอยรวยเป็นเศรษฐีตาม
เพราะได้รับอานิสงส์จากยอดการผลิตขวดพลาสติกสำหรับบรรจุเดรื่องดื่มที่เพิ่มสูงขึ้น
ทดแทนการผลิตขวดแก้วที่นับวันจะลดน้อยลง สังเกตได้จากระยะหลังๆ เป็ปซี่ และโค้กเอง พยายามผลักดันน้ำอัดลมที่บรรจุในกระป๋อง และขวดพลาสติกมากขึ้น สาเหตุที่ยอดขายครื่องดื่มในประเทศไทยสูง
เพราะประเทศไทยเป็นในแถวโซนร้อน ความต้องการเครื่องดื่มจึงมากตาม
การทำธุรกิจของเครือซีพีเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
การทำธุรกิจครบวงจรแบบผูกขาด ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากผลิตวัตถุดิบเอง แปรรูปสินค้าเอง
สต็อกสินค้าเอง ขนส่งเอง กำหนดราคาขายเอง และจำหน่ายเอง
ช่วยให้มูลค่าของกำไรเพิ่มมากขึ้น ได้แนวความคิดนี้มาจากวอลมาร์ท
ร้านขายปลีกชื่อดังของอเมริกา แถมยังจดทะเบียนบริษัทเป็นมหาชนเข้าตลาดหุ้น
ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า
ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็สามารถงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว แซงหน้าเจ้าสัวเครื่องดื่มทั้งสองไปโดยปริยาย
ธุรกิจสื่อทั้งช่องโทรทัศน์ เป็นธุรกิจเติบโตได้เป็นอย่างดี
รายได้ส่วนใหญ่มาจากโฆษณา เชื่อหรือไม่ว่า โฆษณาที่หลายคนเห็นกันประมาณ 1 นาที
เสียค่าโฆษณาเป็นหลักล้าน ยิ่งช่วงที่เป็นละครหลังข่าว
และเกมโชว์ชื่อดังที่ผู้ติดตามกันประจำ เรตติ้งสูง ค่าโฆษณาก็สูงตาม
แม้แต่ตอนน้ำท่วม เรตติ้งผู้ชมก็สูงขึ้น ติดตามข่าวสารมากขึ้น
สรุปจะเห็นได้ชัดเจนว่า เศรษฐีหลายคนไม่ได้มีพื้นฐานในด้านการศึกษาที่สูงมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเหล่านั้น
ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมาจากการความมุ่งมั่น มองช่องทางในทำธุรกิจ เห็นถึงความต้องการของตลาดทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต และสิ่งหนึ่งที่เขาหลายคนขาดไม่ได้ นั่นก็คือ
นอกจากเก่งเรื่องหาเงินแล้ว
ยังรู้จักบริหารให้เทรัพย์สินงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว
********************************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น