วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตามรอยเศรษฐีไทย และเศรษฐีโลก


       ผมเคยลองคิดเล่นๆ ว่า หากมีเงินทุนจำนวนมาก แล้วทำธุรกิจอะไรที่ทำแล้วมีโอกาสร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้บ้าง เลยค้นคว้าข้อมูลจากอันดับเศรษฐีของโลก และเศรษฐีของไทยดูว่าเค้าทำอะไรกัน ลองมาค้นหาจุดดีจุดเด่นกัน


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก คือ คาร์ลอส สลิม ชาวแม็กซิโก ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสาร ก่อนหน้านี้อยู่อันดับ 3 เพิ่งแซงบิล เบตส์ มาอยู่ในอันดับ 1 ไม่นาน

       เศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือ บิล เกตต์ ชาวอเมริกา ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ บริษัทผลิต และพัฒนาซอฟท์แวร์รายใหญ่ของโลก การเรียนไม่จบไม่ใช่อุปสรรคในการธุรกิจแต่อย่างใด ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ของโลกก็ล้วนแต่ลงระบบปฏิบัติการวินโดว์ของเค้านี่แหละ

       เศรษฐีอันดับ 3 ของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชาวอเมริกา เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาที่เริ่มต้นด้วยเงินเพียงไม่กี่พันบาท จากการที่ลงทุนสไตล์ Value Investor จนประสบความสำเร็จ เขียนหนังสือสอนการลงทุนมากมาย รวมถึงเป็นเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งทำธุรกิจซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในตอนราคาถูก หุ้นของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เป็นหุ้นที่ราคาแพงที่สุดในตลาดหุ้นอเมริกา หุ้นละ 3 ล้านบาทเชียว

       เศรษฐีอันดับ 4 ของโลก คือ เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ ชาวฝรั่งเศส ชื่อนี้หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าเค้านี่แหละเป็นเจ้าของหลุยส์ วิตตอง , ดีออร์ และอื่นๆ อีกมากมายเกี่ยวกับน้ำหอม และเครื่องแต่งกายแบนด์เนม คงช่วยให้นึกออก

       เศรษฐีอันดับ 5 ของโลก คือ อมันซิโอ ออร์เตกา ชาวสเปน ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเสื้อผ้าแบนด์เนม ซาร่า เพิ่งขึ้นมาติดอันดับต้นๆ เป็นครั้งแรก



       หลังจากอ่านที่มาที่ไปของเศรษฐีโลก จะเห็นได้ว่า มีเศรษฐีถึง 2 คน รวยล้นฟ้าจากการลงทุนในธุรกิจกลุ่มสื่อสาร และคอมพิวเตอร์ เพราะคนอเมริกาเน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่วนเศรษฐีอีก 2 คน รวยมาจากธุรกิจแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และน้ำหอม เพราะทางยุโรปเน้นแฟชั่น และเครื่องแต่งกายเป็นพิเศษ ดูอย่างประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น


       ถึงแม้เศรษฐีเหล่านั้นจะไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงเหมือนวอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่มีบริษัทจดทะเบียนเข้าในตลาดหุ้น ประชาชนทั่วไปต่างสนใจอยากร่วมลงทุนในธุรกิจเหล่านั้น ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็สามารถงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว และอีกคนรวยมาจากการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินลงทุนไม่กี่พันบาทก็รวยล้นฟ้าได้ไม่แพ้กัน 


********************************************************************************


       ลองมาดูเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศไทยกัน เป็นใครกันบ้าง แล้วทำธุรกิจอะไร ทำไมเค้าถึงรวยล้นฟ้า


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 1 ของไทย คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ หรือที่หลายคน เรียกว่า เจ้าสัวซีพีทำธุรกิจผูกขาดสินค้าเกษตร อาทิเช่น อาหารสัตว์ , เนื้อสัตว์ , เมล็ดพันธุ์พืช , พืชผักสด , แฟรนไชส์ร้าน 7-11 , ไก่ย่างห้าดาว รวมถึงบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นด้วย ก่อนหน้านี้เคยอยู่ตำแหน่งที่ 3 มาตลอด จนกระทั่งแซงขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ได้ ถือว่า เก่งกาจทีเดียว


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 2 ของไทย คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี หรือที่หลายคน เรียกว่า เจ้าสัวเจริญเจ้าของธุรกิจไทยเบฟเวอเรจ เครื่องดื่มเบียร์ช้าง ถือว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญของเบียร์สิงห์ ถึงเบียร์ช้างจะเข้ามาทีหลัง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการกินส่วนแบ่งตลาด นอกจากการขายเบียร์ในราคาถูกกว่า แล้วยังเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลเอฟเวอร์ตันของอังกฤษอย่างทางการ ถึงว่าเป็นการตลาดที่ชาญฉลาด บริษัทไทยเบฟเวอเรจได้เข้าตลาดหุ้นที่สิงคโปร์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้เทคโอเวอร์แบนด์โออิชิ บริษัทผลิตชาเขียว และร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ของคุณตัน ภาสกรนที อีกด้วย


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 3 ของไทย คือ เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง กระทิงแดง แล้วไปโด่งดังในเมืองนอกในนาม เรดบลูถึงแม้ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังจะมีคู่แข่งมากมาย แต่การผลักดันกระทิงแดงโกอินเตอร์ ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญก็ว่าได้ แม้จะไม่มีหุ้นในตลาดเมืองไทยก็ตามเถอะ


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 4 ของไทย คือ อาลก โลเฮีย ชาวอีนเดียเพียงไม่กี่คนที่ถูกจัดในอันดับเศรษฐีไทย เจ้าของธุรกิจอินโดรามา เวนเจอร์ส ผลิตขวด PET หรือขวดพลาสติกใสที่ใช้บรรจุน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มต่างๆ หลายคนสงสัยลองสังเกต ให้พลิกขวดน้ำเปล่าขึ้นมาลองดู จะเห็นคำว่า “PET” ภายในเครื่องหมายสามเหลี่ยม ปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มโตวันโตคืน แข่งขันกันสูง แล้วผลิตขวดพลาสติกส่งอย่างเดียวยังแทบไม่ทัน แล้วจะไม่รวยไม่ไง


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 5 ของไทย คือ กฤตย์ รัตนรักษ์ หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธุรกิจช่อง 7,  มีเดียออฟมีเดียส์ และปูนซีเมนต์นครหลวง หรือที่หลายคนรู้จัก ปูนตรานกอินทรี ในอดีตเคยเป็นเจ้าของธนาคารกรุงศรีอยุธยามาก่อน



       หลังจากอ่านที่มาที่ไปเศรษฐีไทย จะเห็นได้ว่า มีเศรษฐีถึง 2 คน รวยล้นฟ้าจากการลงทุนในธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่ม ถึงแม้จะถูกปฏิเสธจากการจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น เพราะเป็นธุรกิจที่ผิดศีลก็ตาม อาลกก็เป็นอีกคนที่พลอยรวยเป็นเศรษฐีตาม เพราะได้รับอานิสงส์จากยอดการผลิตขวดพลาสติกสำหรับบรรจุเดรื่องดื่มที่เพิ่มสูงขึ้น ทดแทนการผลิตขวดแก้วที่นับวันจะลดน้อยลง สังเกตได้จากระยะหลังๆ เป็ปซี่ และโค้กเอง พยายามผลักดันน้ำอัดลมที่บรรจุในกระป๋อง และขวดพลาสติกมากขึ้น สาเหตุที่ยอดขายครื่องดื่มในประเทศไทยสูง เพราะประเทศไทยเป็นในแถวโซนร้อน ความต้องการเครื่องดื่มจึงมากตาม


Photobucket

       การทำธุรกิจของเครือซีพีเป็นสิ่งที่น่าสนใจ การทำธุรกิจครบวงจรแบบผูกขาด ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากผลิตวัตถุดิบเอง แปรรูปสินค้าเอง สต็อกสินค้าเอง ขนส่งเอง กำหนดราคาขายเอง และจำหน่ายเอง ช่วยให้มูลค่าของกำไรเพิ่มมากขึ้น ได้แนวความคิดนี้มาจากวอลมาร์ท ร้านขายปลีกชื่อดังของอเมริกา แถมยังจดทะเบียนบริษัทเป็นมหาชนเข้าตลาดหุ้น ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็สามารถงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว แซงหน้าเจ้าสัวเครื่องดื่มทั้งสองไปโดยปริยาย

       ธุรกิจสื่อทั้งช่องโทรทัศน์ เป็นธุรกิจเติบโตได้เป็นอย่างดี รายได้ส่วนใหญ่มาจากโฆษณา เชื่อหรือไม่ว่า โฆษณาที่หลายคนเห็นกันประมาณ 1 นาที เสียค่าโฆษณาเป็นหลักล้าน ยิ่งช่วงที่เป็นละครหลังข่าว และเกมโชว์ชื่อดังที่ผู้ติดตามกันประจำ เรตติ้งสูง ค่าโฆษณาก็สูงตาม แม้แต่ตอนน้ำท่วม เรตติ้งผู้ชมก็สูงขึ้น ติดตามข่าวสารมากขึ้น



       สรุปจะเห็นได้ชัดเจนว่า เศรษฐีหลายคนไม่ได้มีพื้นฐานในด้านการศึกษาที่สูงมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเหล่านั้น ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมาจากการความมุ่งมั่น มองช่องทางในทำธุรกิจ เห็นถึงความต้องการของตลาดทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต และสิ่งหนึ่งที่เขาหลายคนขาดไม่ได้ นั่นก็คือ นอกจากเก่งเรื่องหาเงินแล้ว ยังรู้จักบริหารให้เทรัพย์สินงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว


********************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น