วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

มาทำความรู้จักหุ้นกันเถอะ ตอนที่ 3




       เคยเห็นตัวเลขราคาหุ้นวิ่งที่มุมล่างของหน้าจอโทรทัศน์บ่อยๆ ใช่ไหม? ลองมาทำความรู้จักองค์ประกอบของราคาหุ้นกันดีกว่า ตัวเลขพวกนี้บอกอะไรเราบ้าง แต่ที่แน่ๆ สิ่งเหล่านี้นักลงทุนมือใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อใช้วิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุด




       เริ่มจากพิจารณาภาพรวมจากใหญ่ไปหาย่อย ถ้าภาพรวมของตลาดหุ้นดี ลองมองหากลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ สุดท้ายลงลึกไปที่รายละเอียดของหุ้นรายตัว ถ้าภาพรวมของตลาดหุ้นแย่ ควรรอดูภาพรวมของตลาดหุ้นกลับมาดีเสียก่อน เพื่อลดความเสี่ยง เปรียบเสมือน ชาวประมงมองดูท้องฟ้า หรือฟังรายงานจากกรมอุตุฯ เช็คดูสภาพอากาศเป็นเช่นไร ชาวประมงเห็นคลื่นลมแรง เหมือนพายุจะเข้าก็งดหาปลา หลีกเลี่ยงอันตรายจากพายุนั่นแหละ



********************************************************************************


ตัวย่อแบ่งตามตลาดหุ้น


           SET คือ ภาพรวมของตลาดหุ้น SET

       SET50 คือ ภาพรวมของหุ้นในกลุ่ม SET50

       SET100 คือ ภาพรวมของหุ้นในกลุ่ม SET100

       SETHD คือ ภาพรวมของหุ้นที่จ่ายปันผลดี

       MAI คือ ภาพรวมของตลาดหุ้น MAI โดยบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มนี้มีขนาดทุนจดทะเบียนน้อยกว่าในตลาดหุ้น SET



********************************************************************************


ตัวย่อแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม


       กลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) หุ้นทุกตัวล้วนถูกจะอยู่เป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน โดยทิศทางของกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นเช่นไร ย่อมส่งผลไปที่หุ้นได้เช่นกัน อาทิเช่น ในกลุ่มธนาคาร ประกอบด้วย ธนาคารหลายตัว มีตั้งแต่ ธนาคารชั้นนำไล่เรียงไปจนถึงธนาคารที่มีผลประกอบขาดทุน เป็นต้น ซึ่งการค้นหาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นตัวนำตลาด เราอาจจะเจอหุ้นตัวดีๆ ได้ไม่ยาก 

เพิ่มเติม - หุ้นในตลาดหุ้น MAI ไม่มีการจัดประเภทตามกลุ่มอุตสาหกรรม



********************************************************************************


ตัวย่อเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น



       - หลักทรัพย์ (Symbol) คือ ตัวย่อของหุุ้น อาทิเช่น PTT , SCB , AMATA และ BEC เป็นต้น

       - ราคาเปิด (Open) คือ ราคาเริ่มต้นซื้อขายของวัน ราคาเปิดไม่จำเป็นต้องเท่ากับราคาปิดของวันเมื่อวานเสมอไป ขึ้นอยู่กับการกำหนดราคาตามความต้องการของผู้ซื้อ และผู้ขาย บางทีอาจจะเจอการใช้ตัวย่อแทนด้วย " O "

       - ราคาสูงสุด (High) คือ ราคาสูงสุดของหุ้นที่เกิดขึ้นภายในวัน บางทีอาจจะเจอการใช้ตัวย่อแทนด้วย " H "

       - ราคาต่ำสุด (Low) คือ ราคาต่ำสุดของหุ้นที่เกิดขึ้นภายในวัน บางทีอาจจะเจอการใช้ตัวย่อแทนด้วย " L "

       - ราคาล่าสุด (Last) คือ ราคาล่าสุดของหุ้น ณ ปัจจุบัน เมื่อปิดตลาด ราคาล่าสุดจะกลายเป็นราคาสิ้นวัน (Close) นั่นเอง บางทีอาจจะเจอการใช้ตัวย่อแทนด้วย " C "

       - Change (Chg) คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือบวก ตัวเลขจะเป็นสีเขียว ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงลดลง หรือติดลบ ตัวเลขจะเป็นสีแดง

       - %Change (%Chg) คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นคิดเป็นเปอร์เซ็นต์
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือบวก ตัวเลขจะเป็นสีเขียว ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงลดลง หรือติดลบ ตัวเลขจะเป็นสีแดง

       ในแต่ละวัน %Change สามารถเพิ่มขึ้นได้ไม่เกิน 30% (Ceiling) และลดลงได้ไม่เกิน 30% (Floor) หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับตลาดหุ้น หรือหุ้นรายตัว จะถูกพักการซื้อขายชั่วคราว



       - ราคาเสนอซื้อ (Bid) คือ ราคาที่ดีที่สุดของผู้ซื้อ โดยปกติราคาเสนอซื้อจะเท่ากับ หรือต่ำกว่าราคาล่าสุด ถ้าต้องการซื้อแล้วตั้งราคา Bid ใกล้เคียงราคาล่าสุดมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสซื้อหุ้นติดมากขึ้น อาทิเช่น

       ราคาล่าสุด 8 บาท คนที่ยอมซื้อแพงกว่า ตั้งราคา Bid ไว้ที่ 7.95 บาท ย่อมได้คิวก่อนคนที่ตั้งราคา Bid ไว้ที่ 7.90 บาท ในกรณีทั้งสองคนตั้งราคา Bid ไว้เท่ากัน ให้ดูช่วงเวลาที่ส่งคำสั่ง ใครส่งคำสั่งก่อนได้คิวก่อน

       - ราคาเสนอขาย (Offer) คือ ราคาที่ดีที่สุดของผู้ซื้อ โดยปกติราคาเสนอซื้อจะเท่ากับ หรือสูงกว่าราคาล่าสุด ถ้าต้องการขายแล้วตั้งราคา Offer ใกล้เคียงราคาล่าสุดมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสซื้อหุ้นติดมากขึ้น อาทิเช่น 

       ราคาล่าสุด 8 บาท คนที่ยอมขายถูกกว่า ตั้งราคา Offer ไว้ที่ 8.05 บาท ย่อมได้คิวก่อนคนที่ตั้งราคา Bid ไว้ที่ 8.10 บาท ในกรณีทั้งสองคนตั้งราคา Offer ไว้เท่ากัน ให้ดูช่วงเวลาที่ส่งคำสั่ง ใครส่งคำสั่งก่อนได้คิวก่อน

       - Volume (Vol) คือ ปริมาณการซื้อขายภายในวัน หุ้นที่มีสภาพคล่องดีควรมี Volume สม่ำเสมอ

       - Value (Val) คือ มูลค่าการซื้อชายภายในวัน วิธีคำนวณหา Value คือ นำ ราคาซื้อขายของหุ้น คูณกับ ปริมาณการซื้อขายของหุ้น



********************************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

เทคนิค - ราคา กับ Volume



       การติดตามดูความเคลื่อนไหวของปริมาณการซื้อขายหุ้น (Volume) เป็นสิ่งที่สำคัญที่ช่วยทำให้เราทราบว่า หุ้นตัวนั้นมีกระแสเงินสดหลั่งไหลเข้ามาหรือไม่? เพราะการที่อยู่ๆ มีเงินจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าออกในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่าง กลุ่มคนในตลาดหุ้นมีความต้องการซื้อ หรือขายหุ้นตัวเดียวกันพร้อมๆ กันในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ย่อมมีเหตุผลสำคัญ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะถูกสะท้อนออกมาในรูปแบบของราคา และ Volume  นั่นเอง



       ในช่วงเวลาปกติ ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ เหมือนไม่มีสิ่งเร้าอะไรมากระตุ้นราคา และ Volume เมื่อมีข่าวออกมา ทุกคนในตลาดจะพุ่งความสนใจมาที่หุ้นตัวนั้นทันที




       หากเป็นข่าวดีออกมา คนที่ยังไม่มีหุ้นตัวนั้นเกิดความรู้สึกอยากได้ จะแย่งกันซื้อหุ้นตัวนั้นในทันที และมี Volume เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเวลาปกติ รวมทั้งราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ




       หากเป็นข่าวไม่ดีออกมา คนที่มีหุ้นตัวนั้นเกิดความกลัวราคาหุ้นจะตก จะแย่งกันขายหุ้นตัวนั้นในทันที และมี Volume เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเวลาปกติ รวมทั้งราคาหุ้นที่ลดลงเรื่อยๆ



เห็นราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ยังไม่มีหุ้นตัวนั้นอยากได้ ควรเข้าไปซื้อไหม?


       ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรพิจารณาราคา และ Volume ของหุ้นให้ชัดเจน ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากเดิมสูงมากๆ ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหลังจากซื้อหุ้นไปแล้ว การที่มี Volume เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้สามารถเข้าไปซื้อหุ้นได้



********************************************************************************