ทำความรู้จักกลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้น
กลุ่มแรก คือ นักลงทุนต่างชาติ(Foreign) เป็นนักลงทุนจากทั่วโลกที่นำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย การซื้อขายของกลุ่มนี้ทรงอิทธิพลมาก ไม่ว่าจะซื้อหรือขายจะกระทบต่อราคาตลาดหุ้นไทยทันที และนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ มักจะพยายามซื้อขายตามจังหวะของนักลงทุนต่างชาติ
หุ้นที่นักลงทุนต่างชาตินิยมซื้อขายกันเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารที่คนไทย และต่างชาติรู้จักกันเป็นอย่างดี อาทิเช่น หุ้นกลุ่มปตท. หุ้นธนาคารกรุงเทพฯ หุ้นธนาคารกสิกร หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น
สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติแห่กันมาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เพราะมองเห็นการเติบโตในอนาคตของประเทศแถบทวีปเอเซีย โดยประเทศไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าเกษตร และสินค้าส่งออก
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุนต่าง มี 2 ประเด็นหลักๆ ดังนี้
- ปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิเช่น สภาพเศรษฐกิจทั่วโลก นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์(ราคาทองคำ , ราคาน้ำมัน) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของประเทศผู้นำเศรษฐกิจ เป็นต้น
ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจทั่วโลกดี เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างมหาศาล ในทางกลับกันถ้าเศรษฐกิจทั่วโลกแย่ แน่นอนนักลงทุนต่างชาติย่อมต้องถอนเงินลงทุนในตลาดหุ้นกลับประเทศ เพื่อรอดูให้สถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นคลี่คลายเสียก่อน
- ปัจจัยภายในประเทศ อาทิเช่น สภาพเศรษฐกิจภายในประเทศไทย นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐบาล ความเคลื่อนไหวทางการเมือง อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของหุ้นบริษัทในตลาดหุ้นไทย เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 นักลงทุนสถาบัน(Institution) คือ กองทุนรวมนั่นเอง กองทุนรวมทำหน้าที่ระดมเงินระดมจากนักลงทุนมากองรวมๆ กันไว้ แล้วลงทุนซื้อหุ้นตามกลุ่มต่างๆ ที่ระบุในเงื่อนไขสัญญา อาทิเช่น กองทุนรวมน้ำมันลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน , กองทุนรวมทองคำลงทุนในทองคำ เป็นต้น เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดกองทุนจะจ่ายผลตอบแทนแก่นักลงทุน
กองทุนรวมเปรียบเสมือนตัวแทนเล่นหุ้นให้นักลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือไม่มีเวลาดูแลหุ้นด้วยตัวเอง ก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวม ควรอ่านรายละเอียดเงื่อนไขการลงทุนของกองทุนรวมนั้น และการจ่ายผลตอบแทนอย่างละเอียดเสียก่อน
กลุ่มที่ 3 บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์(Proprietary) นอกจากมีหน้าที่หลักในการดูแลการซื้้อขายหุ้นของนักลงทุนทุกกลุ่มแล้ว โบรกเกอร์ยังมีฝ่ายซื้อขายหุ้นโดยเฉพาะเองอีกด้วย ชื่อเป็นทางการว่า Proprietary Trade เรียกย่อๆ ว่า ป๊อปเทรด
โบรกเกอร์เป็นฝ่ายให้เงินทุน ส่วนป๊อปเทรดมีหน้าที่เทรดหุ้นให้มีกำไร เมื่อได้กำไรจะแบ่งกำไรตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ โบรกเกอร์ถือว่าได้เปรียบ เพราะทราบถึงความเคลื่อนไหวของการซื้อขายของตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด
กลุ่มสุดท้าย นักลงทุนรายย่อย(Individual) คือ นักลงทุนอย่างพวกเราๆ ด้วยเงินทุนไม่มากเท่านักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ที่กล่าวมาขั้นต้น และจำเป็นต้องติดตามทิศทางของตลาดหุ้น ข้อดีของการเป็นนักลงทุนรายย่อยก็คือ เป็นอิสระ สามารถซื้อขายได้ตามความถนัดของแต่ละคน ไม่มีกฏเกณฑ์มาบังคับ
ปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมองตลาดหุ้นเป็นช่องหารายได้นอกเหนือจากงานประจำ หลายคนหวังว่าตลาดหุ้นเป็นรายได้หลังจากเกษียณออกจากงานประจำแล้ว
สไตล์การลงทุน เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นวิธีการลงทุนนั่นเองแต่ละคนก็มีสไตล์แตกต่างกันไป แบ่งได้ ดังนี้
- นักลงทุนระยะสั้น หรือนักเก็งกำไร(Active Investor) เป็นวิธีการลงทุนที่มองหาจังหวะเข้าซื้อหุ้น และขายทำกำไรจากหุ้นในระยะสั้นๆ มองเห็นทุกโอกาสที่สร้างทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องดูรายละเอียดพื้นฐานของหุ้น และเเมื่อซื้อหุ้นมาแล้วปรากฏว่าราคาไม่เป็นไปตามที่คิด ต้องรู้จักคัตลอส หรือขายขาดทุนออกมาทันที เพื่อหาโอกาสในรอบถัดๆไป โดนปกติการลงทุนรูปแบบนี้นิยมซื้อขายทำกำไรภายในวัน หรือที่เรียกว่า Day Trade น้อยครั้งที่จะถือหุ้นข้ามวัน
หุ้นปั่นเหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้น ด้วยตัวหุ้นที่มีขนาดเล็ก ถามว่าทำไมต้องซื้อหุ้นขนาดเล็กด้วย เพราะยิ่งซื้อหุ้นขนาดเล็กราคาต่ำๆ ยิ่งได้จำนวนหุ้นที่มากขึ้น เวลาหุ้นปั่นราคาสูงขึ้น ตอนขายหุ้นออกมาจะได้กำไรที่มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ราคาแพงๆ
ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีเงินลงทุนจำนวน 10,000 บาท เลือกลงทุนระหว่างหุ้น A ราคา 100 บาท กับ หุ้น B ราคา 0.10 บาท หากต้องการทำกำไร 1000 บาท นักลงทุนระยะสั้นนิยมเลือกซื้อหุ้น B มากกว่า เพราะสามารถซื้อหุ้น B ในราคา 0.10 บาท จำนวน 100,000 หุ้น เพียงแค่ราคาหุ้นวิ่งไป 1.01 หรือเพิ่มขึ้น 0.01 บาทต่อหุ้น ก็ได้กำไรตามเป้าหมายแล้ว แต่ถ้าเลือกซื้อหุ้น A ในราคา 100 บาท จำนวน 100 หุ้น ต้องรอราคาหุ้นวิ่งไป 110 บาท หรือเพิ่มขึ้น 10 บาทต่อหุ้น
- นักลงทุนระยะยาว(Passive Investor) เป็นวิธีการลงทุนถือหุ้นในระยะยาว นานเป็นเดือน , ไตรมาส หรือเป็นหลายปีๆ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นักลงทุนคุณค่า(Value Investor) โดยใหความสำคัญกับพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก ข้อสำคัญ คือ สามารถรอคอยเป็นระยะเวลานานๆได้ การลงทุนซื้อหุ้นจะหาจังหวะซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาพื้นฐานของตลาด แล้วถือหุ้นในระยะยาว ให้ความสำคัญกับกำไรในตัวบริษัท ซึ่งบริษัทจ่ายผลตอบแทนมาในรูปเงินปันผลประจำปี คำนวณถึงจุดคุ้มทุนว่า ถ้าเลือกลงทุนในหุ้นตัวนั้นรอกินเงินปันผลอย่างเดียวใช้ระยะเวลานานกี่ปี และขายหุ้นออกมาเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ผลกำไรที่ได้รับน้อยลง หรือการเติบโตของบริษัทแย่กว่าที่คาดคิด แล้วมีหุ้นตัวอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าถือหุ้นตัวเดิม
สไตล์การลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์การลงทุนระยะสั้น หรือระยะยาว ไม่มีคำว่า "ถูก" หรือ "ผิด" เพราะเป้าหมายการลงทุนของทุกคนเหมือนกัน คือ ทำกำไรจากการลงทุน สิ่งที่สำคัญ คือ คุณสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ ?
สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ มีอะไรบ้าง ?
หนังสือแนะนำการเล่นหุ้น สามารถหาซื้อตามร้านขายหนังสือ เนื้อหาส่วนใหญ่ แบ่งหลักๆ ได้ 2 ประเภท อย่างแรกแนะนำการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental Analysis) อย่างที่สองแนะนำการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค(Technical Analysis) ควรศึกษาอย่างละเอียดก่อนลงสนามจริง
พอร์ตหุ้นจำลอง(Virtual Portfolio) ผู้สนใจสามารถสมัครทดลองเล่นพอร์ตหุ้นจำลองได้ฟรี ซ้อมมือก่อนลงสนามจริง โดยอ้างอิงเวลาเปิด - ปิดตลาดหุ้นจริงๆ ราคาล่าสุดอ้างอิงจากตลาดหุ้น เรียกว่าได้รายละเอียดภายในใกล้เคียงกับพอร์ตที่ซื้อขายกันจริงๆ ข้อแตกต่างของพอร์ตหุ้นจำลอง คือ ไม่มีการกรอกรหัสยืนยันการซื้อขาย(Pin Code) เท่านั้นเอง
บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ ถือเป็นเครื่องมือช่วยนักลงทุนในการเลือกหุ้น โดยตัวบทวิเคราะห์นั้นจะสรุปข้อมูล รายละเอียดที่สำคัญของหุ้นตัวนั้น อาทิเช่น รายได้รวม กำไรสุทธิ แนวโน้มและการเติบโตของบริษัท การเปรียบเทียบข้อมูลกับบริษัทคู่แข่ง ที่สำคัญ คือ การประมาณการณ์ผลประกอบการในอนาคตข้างหน้า ข้อมูลเหล่านี้ถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากในการตัดสินใจเลือกลงทุน แต่เหนือสิ่งอื่นได้ควรดูราคาที่ผ่านมา และความเคลื่อนไหวของราคาในปัจจุบันว่าข่าวสารที่อ่านได้สะท้อนราคาของหุ้นไปแล้วหรือยัง เพราะหลายๆครั้งราคาของหุ้นวิ่งนำข่าวสารที่พึ่งออกมา
การรวมกลุ่มนักลงทุนที่มีแนวความคิด และเป้าหมายคล้ายๆกัน เพื่อแชร์ประสบการณ์ ความรู้ และข่าสารต่างๆ ช่วยทำให้วิสัยทัศน์กว้างขึ้น และรู้ทันความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นได้รวดเร็วกว่าค้นหาด้วยตวคนเดียว หลายคนที่คุณจะพบว่าจุดดีจุดด้อยต่างๆ ที่คุณมองข้ามมาจากเพื่อนนักลงทุนด้วยกัน
ติดตามข่าวสารจากแหล่งต่างๆ อาทิ รายงานข่าวทางโทรทัศน์ ข่าวสารในอินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วย ทำให้คุณทราบความเคลื่อนไหวของสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน หรือธุรกิจที่กำลังมาแรง
ฝึกนั่งสมาธิ ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้ดี ในบางครั้งสถานการณ์เร่งรีบ ต้องตัดสินใจด่วน สติเป็นตัวควบคุมให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่ประมาท ในการเล่นหุ้นไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด อาทิเช่น วันนี้ตลาดหุ้นแนวโน้มไม่ดี เมื่อเช้าเล่นหุ้นแล้วขายขาดทุน ต้องการจะเล่นหุ้นต่อ เพื่อทำกำไรกลับมาภายในวันนี้ หากมีสติพิจารณาดูแล้วว่า วันนี้โอกาสเล่นแล้วขาดทุนมีมาก ควรเลี่ยงแล้วรอดูสถานการณ์วันถัดไป เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น