ที่ผ่านมา ได้เกริ่นถึงบุคคลที่ร่ำรวยจนกลายเศรษฐีกันมาแล้ว ก็ขอหยิบยกชีวประวัติ
แนวคิดที่มีประโยชน์ และน่าสนใจของเหล่าเจ้าสัวที่บรรพบุรุษเดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่
นั่งเรือสำเภาลงมาเรื่อย แบกเสื่อผืนหมอนใบมาปักหลักอยู่บนแผ่นดินไทย
เจ้าสัวคนแรกที่จะพูดถึง คือ เฉลียว อยู่วิทยา เกิดที่พิจิตร ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน
เรียนจบชั้นป.4 ทำงานตั้งแต่เด็ก ด้วยอาชีพเลี้ยงเป็ด และขายผลไม้
ตอนนั้นได้เดินทางอยู่กับพี่ชายที่กรุงเทพฯ โดยเริ่มจากเป็นเซลส์ขายยา ทำจนมีความรู้ความชำนาญเรื่องยาแล้ว
เมื่อเริ่มรู้สึกอิ่มตัวก็ลาออกมาเป็นตัวแทนนำเข้ายามาขายเอง สร้างรายได้ที่มากขึ้นจนมีกำลังทรัพย์พอจะสร้างโรงงานทีซีมัยซิน
สำหรับผสมยาขึ้นมาเอง สินค้าที่มีชื่อเสียง คือ ยาเด็ก “เบบี้ดอล”
โลโก้รูปกระทิงสีแดงทั้งสองพุ่งเข้าหากันตรงกลางเป็นวงกลมสีเหลืองบ่งบอกถึง พลังที่เปี่ยมล้น
นั่นคือ โลโก้ของ “กระทิงแดง” เป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่มียอดขายดี ถึงแม้ M
150 ของทางโอสถสภา จะมีส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องดื่มชูกำลังที่มากกว่า โชคดีของกระทิงแดงก็มาถึง เมื่อภายหลังนักธุรกิจชาวออสเตรเลีย
ชื่อ ดีทริช เมเทสซิทซ์ ได้ร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH เรียกย่อๆ ว่า “เรดบูล”
ทำให้กระทิงแดงสามารถโกอินเตอร์ทั่วโลกกว่า 70 ประเทศ โกยรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เน้นวัยรุ่น และนักกีฬา รวมทั้งเป็นสปอนเซอร์ให้กับวงการกีฬารถแข่ง
จะพบเห็นโลโก้ของเรดบูลได้ทั่วไปตามรถแข่ง และรถมอเตอร์ไซค์วิบาก
นอกจากกระทิงแดงแล้ว สปอนเซอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเครื่องดื่มเกลือแร่อีกเช่นกัน
แต่ถึงยังไง ทั้งสองตัวเป็นสินค้าที่ขายดีเฉพาะกลุ่มผู้ชาย ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ
ถึงจะกำไรมหาศาลบริษัทก็จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้อนตลาดเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง ภายหลังได้มีการผลิตสินค้ารองรับกลุ่มผู้หญิงขึ้นมาบ้าง
อาทิเช่น “เรดดี้” เครื่องดื่มชูกำลังผสมน้ำผลไม้ และ “เพียวริคุ”
ชาเขียวที่เน้นเก็กฮวย
และผลไม้เบอร์รี่ที่กำลังเป็นที่นิยมในบรรดากลุ่มผู้หญิง และผู้รักสุขภาพ เรียกได้ว่า
เป็นจ้าวแห่งเครื่องดื่มที่แท้จริง
********************************************************************************
เจ้าสัวคนที่สองที่จะพูดถึง คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน
เรียนจบชั้นป.4 ทำงานตั้งแต่เด็กด้วยอาชีพขายของ ตอนอายุ 11 ปี มีอาชีพเข็นของ
และหาบของขาย ต่อมาในปี พ.ศ.2504 ได้มาทำงานในบริษัทจำหน่ายสุรา
มีโอกาสได้รู้จักกับ จุล กาญจนลักษณ์ เจ้าของธุรกิจสุรา “แม่โขง”
ภายหลังได้ทำธุรกิจสุราร่วมกับ
เถลิง เหล่าจินดา ใช้ชื่อ “สุราทิพย์” ขายดิบขายดี จนกระทั่งมีทรัพย์สินพอเข้าเทคโอเวอร์บริษัทสุรามหาราษฏร ซึ่ง ณ ขณะนั้นถือว่าเป็นบริษัทสุรารายใหญ่ได้สำเร็จ
เมื่อประสบความสำเร็จในธุรกิจสุราและโซดาแล้ว
มองเห็นลู่ทางในธุรกิจเบียร์ จึงร่วมลงทุนกับบริษัทผลิตเบียร์จากต้นตำรับเยอรมันอย่าง “คาร์ลสเบอร์ก”
ก่อตั้งบริษัท
เบียร์ไทย(1991) จำกัด โดยผลิตเบียร์ออกจำหน่าย
ในตอนหลังเมื่อเริ่มเข้าใจกรรมวิธีการผลิตเบียร์แล้ว ได้ก่อตั้งบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจขึ้นมาพร้อมปรับปรุงสูตรเบียร์ที่ให้มีรสชาติเข้ากับคนไทย
สร้างโลโก้รูปช้างหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางมีน้ำพุพุ่งขึ้น ใช้ชื่อว่า ”เบียร์ช้าง”
ด้วยการตลาดเชิงรุก ผลิตเบียร์ต้นทุนต่ำ รสชาติดี
ขายเบียร์พ่วง “เหมา 4 ขวด 100 บาท” รวมทั้งสโลแกน “คนไทยหันหน้าเข้าหากัน”
ออกตีตลาดแข่งกับเบียร์สิงห์
ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ มีส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์ที่มากกว่า จนเบียร์สิงห์เกือบเจ๊ง
เนื่องจากต้นทุนผลิตเบียร์สูงกว่าไม่สามารถลดราคาแข่งตามเบียร์ช้างได้ จนในที่สุดเบียร์สิงห์แก้ทางด้วยการออกเบียร์เกรดเดียวกับเบียร์ช้าง
ใช้ชื่อว่า “ลีโอ” ออกมาเน้นดึงลูกค้ากลุ่มเดิมคืนมา และเบียร์สิงห์กลายเป็นจ้าวแห่งเบียร์ตามเดิม
ซึ่งกลุ่มลูกค้าเบียร์ส่วนใหญ่เป็นคนอีสาน และแรงงานต่างด้าว
เมื่อธุรกิจเบียร์ในเมืองไทยเริ่มอื่มตัว ได้โกอินเตอร์ด้วยการส่งออกจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ
การเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้กับ “เอฟเวอร์ตัน”
ทีมฟุตบอลชั้นนำของอังกฤษ เป็นการลงทุนที่ได้ผล ชาวต่างชาติเริ่มรู้จักเบียร์ช้างมากขึ้น ทำให้ยอดขายเบียร์ช้างแซงเบียร์สิงห์โดยปริยาย
ภายหลังจากประสบความสำเร็จเป็นจ้าวแห่งธุรกิจแอลกอฮอล์แล้ว ยังได้เทคโอเวอร์บริษัทเบอร์ลี่
ยุคเกอร์ โลจิสติกส์ อีกด้วย เมื่อสร้างรายได้มหาศาลก็อยากให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหลายๆเท่า
จึงได้ผลักดันบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจเข้าตลาดหุ้นไทยในปี พ.ศ.2548 แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่มองว่า
ธุรกิจแอลกอฮอล์ไม่ควรนำเข้าตลาดหุ้น เป็นการสนับสนุนให้คนไทยผิดศีลมากขึ้น
เป็นอันว่าเมื่อเข้าตลาดหุ้นไทยไม่ได้ บริษัทไทยเบฟเวอร์เรจก็เลยขอเข้าตลาดหุ้นที่สิงคโปร์แทน ภายหลังก็เลยซื้อแบนด์โออิชิของคุณตัน
ภาสกรนทีซะเลย ได้หุ้นโออิชิในตลาดหุ้นไทยไป พร้อมกับกลายเป็นจ้าวแห่งชาเขียว
และร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นอีกด้วย เรียกว่า เจ้าพ่อแห่งการเทคโอเวอร์ตัวจริง
********************************************************************************
เจ้าสัวคนสุดท้ายที่จะพูดถึง คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ เกิดในครอบครัวพ่อค้า
บิดาส่งไปเรียนที่ประเทศจีนตั้งแต่สมัยเด็ก ซึ่งบิดาเปิดร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชในนาม
“เจียไต๋” เป็นธุรกิจหลักของครอบครัวเลยทีเดียว เมื่อเรียนจบกลับมาเมืองไทย
ช่วงแรกช่วยธุรกิจที่บ้าน แล้วปลีกตัวไปทำงานสหพันธ์สหกรณ์ค้าไข่
และบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และความชำนาญในธุรกิจค้าสัตว์
เมื่ออายุ 25 ปีได้กลับมาช่วยธุรกิจที่บ้านตามเดิม นำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ
ความคิดในการต่อยอดธุรกิจจนสร้างเครือเจริญโภคภัณฑ์ให้มีชื่อเสียง
สามารถผูกขาดสินค้าเกษตร ตั้งแต่จำหน่ายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์สัตว์ อาทิเช่น ไก่ ,
เป็ด , หมู , วัว และกุ้ง เป็นต้น จำหน่ายอาหารสัตว์ – ยารักษาโรคสัตว์ให้เกษตรกร
รับซื้อสัตว์เมื่อโตเต็มวัยคืนจากเกษตรกร เมื่อเป็นจ้าวเกษตรในไทยแล้วก็ไม่หยุดที่จะขยายกิจการ
ต่อมาขยายธุรกิจเกษตรที่จีนเป็นนักธุรกิจไทยรายแรก
หลังจากเป็นจ้าวแห่งเกษตร และค้าสัตว์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลกแล้ว มองเห็นหาแหล่งจำหน่ายสินค้าที่บริษัทตนผลิต
ในปี พ.ศ.2531 จึงตัดสินซื้อแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น จากญี่ปุ่น
เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ถือเป็นการตัดสินใจชาญฉลาดในการหาที่ตั้งจำหน่ายสินค้าในเครือเจริญโภคภัณฑ์ของตัวเอง
เริ่มแปรรูปแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นอาหารสำเร็จรูป อาทิเช่น ขนมจีบ ซาลาเปา “มังกรหยก”
,
ไส้กรอกสโม๊กกี้ไบรท์ , ขนมปังเลอแปง รวมถึงชิลด์ฟุ้ด อาหารพร้อมรับประทาน
หลังจากเป็นจ้าวแห่งธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อแล้ว ก็ยังไม่หยุด
ได้ลงทุนกับออเรนจ์ บริษัทสื่อสารของอังกฤษ ในการทำธุรกิจเครือข่ายมือถือ
แต่สุดท้ายออเรนจ์ไปไม่รอด ขายกิจการในประเทศไทยให้แก่เครือเจริญโภคภัณฑ์
พร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “ทรูมูฟ” ซึ่งมีรายได้หลักจากค่าบริการโทรศัพท์บ้าน , มือถือ , อินเตอร์เน็ต
และช่องเคเบิล ปัจจุบันบริษัททรู คอร์ปเปอร์เลชั่น ที่ลูกชายของเจ้าสัวซีพีดูแลอยู่ ยังไม่รุ่งโรจน์เท่าที่ควร
สาเหตุที่เจ้าสัวซีพีพุ่งแซงเจ้าสัวทั้งสองไปครองเศรษฐีอันดับ 1 ได้นั้น เพราะเป็น 1 ใน 3 คนแรกที่ผลักดันบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นไทยได้สำเร็จ โอกาสที่ทรัพย์สินจะงอกงายก็มากกว่า หุ้นที่ต้นทุนแค่ 1 บาททั้งสองตัว CPALL ขยับไป 65 เท่า CPF ขยับไป 36 เท่า แบบนี้ไม่พุ่งอันดับ 1 ให้มันรู้ไป
เจ้าสัวซีพีมีวิธีสั่งสอนลูกที่น่ายกย่อง ลูกหลานของเจ้าสัวซีพีถึงแม้จะเรียนจบมาสูงแค่ไหน เมื่อมาทำงานภายในบริษัท ต้องเริ่มจากตำแหน่งล่างก่อนๆ ให้รู้จักปรับตัว เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพนักงาน และคนประเมินการทำงานก็เป็นพนักงานอีกนั่นแหละ ไต่เต้ากันไปเรื่อยๆ กว่าจะได้เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นผลดีอย่างมาก เพิ่มความใกล้ชิดกับพนักงาน ลดช่องว่างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และเข้าใจปัญหา และรู้จักกระบวนการทำงานทั้งหมด
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องราวชีวประวัติของเจ้าสัว มีหลายอย่างที่เป็นประโยชน์
- เลือกธุรกิจที่คิดว่าตัวเองชอบ และถนัด
- เรียนรู้ขั้นตอนอย่างผู้ชำนาญ
- สร้างแบรนด์ หรือสโลแกน ที่จดจำได้ง่ายๆ
- พัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อย่าปล่อยให้ธุรกิจตายไป อาทิเช่น ยาคูลท์ เป็นต้น
- เมื่อทำธุรกิจสำเร็จแล้ว มองธุรกิจที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม
เมื่อทำแล้วช่วยลดต้นทุนการผลิตลง
- เมื่ออิ่มตัวในประเทศ หากมีโอกาสให้โกอินเตอร์
เพื่อเพิ่มยอดขาย
- ผลักดันบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น ช่วยให้ทรัพย์สินงอกงายเพิ่มขึ้นหลายๆ เท่า
********************************************************************************