วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

แนวคิดเจ้าสัว


       ที่ผ่านมา ได้เกริ่นถึงบุคคลที่ร่ำรวยจนกลายเศรษฐีกันมาแล้ว ก็ขอหยิบยกชีวประวัติ แนวคิดที่มีประโยชน์ และน่าสนใจของเหล่าเจ้าสัวที่บรรพบุรุษเดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ นั่งเรือสำเภาลงมาเรื่อย แบกเสื่อผืนหมอนใบมาปักหลักอยู่บนแผ่นดินไทย


Photobucket

       เจ้าสัวคนแรกที่จะพูดถึง คือ เฉลียว อยู่วิทยา เกิดที่พิจิตร ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน เรียนจบชั้นป.4 ทำงานตั้งแต่เด็ก ด้วยอาชีพเลี้ยงเป็ด และขายผลไม้ ตอนนั้นได้เดินทางอยู่กับพี่ชายที่กรุงเทพฯ โดยเริ่มจากเป็นเซลส์ขายยา ทำจนมีความรู้ความชำนาญเรื่องยาแล้ว เมื่อเริ่มรู้สึกอิ่มตัวก็ลาออกมาเป็นตัวแทนนำเข้ายามาขายเอง สร้างรายได้ที่มากขึ้นจนมีกำลังทรัพย์พอจะสร้างโรงงานทีซีมัยซิน สำหรับผสมยาขึ้นมาเอง สินค้าที่มีชื่อเสียง คือ ยาเด็ก เบบี้ดอล 


Photobucket

       โลโก้รูปกระทิงสีแดงทั้งสองพุ่งเข้าหากันตรงกลางเป็นวงกลมสีเหลืองบ่งบอกถึง พลังที่เปี่ยมล้น นั่นคือ โลโก้ของ กระทิงแดงเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่มียอดขายดี ถึงแม้ M 150 ของทางโอสถสภา จะมีส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องดื่มชูกำลังที่มากกว่า โชคดีของกระทิงแดงก็มาถึง เมื่อภายหลังนักธุรกิจชาวออสเตรเลีย ชื่อ ดีทริช เมเทสซิทซ์ ได้ร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH เรียกย่อๆ ว่า เรดบูลทำให้กระทิงแดงสามารถโกอินเตอร์ทั่วโลกกว่า 70 ประเทศ โกยรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เน้นวัยรุ่น และนักกีฬา รวมทั้งเป็นสปอนเซอร์ให้กับวงการกีฬารถแข่ง จะพบเห็นโลโก้ของเรดบูลได้ทั่วไปตามรถแข่ง และรถมอเตอร์ไซค์วิบาก


Photobucket

       นอกจากกระทิงแดงแล้ว สปอนเซอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเครื่องดื่มเกลือแร่อีกเช่นกัน แต่ถึงยังไง ทั้งสองตัวเป็นสินค้าที่ขายดีเฉพาะกลุ่มผู้ชาย ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ถึงจะกำไรมหาศาลบริษัทก็จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้อนตลาดเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง ภายหลังได้มีการผลิตสินค้ารองรับกลุ่มผู้หญิงขึ้นมาบ้าง อาทิเช่น เรดดี้ เครื่องดื่มชูกำลังผสมน้ำผลไม้ และ เพียวริคุชาเขียวที่เน้นเก็กฮวย และผลไม้เบอร์รี่ที่กำลังเป็นที่นิยมในบรรดากลุ่มผู้หญิง และผู้รักสุขภาพ เรียกได้ว่า เป็นจ้าวแห่งเครื่องดื่มที่แท้จริง


********************************************************************************



Photobucket

       เจ้าสัวคนที่สองที่จะพูดถึง คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน เรียนจบชั้นป.4 ทำงานตั้งแต่เด็กด้วยอาชีพขายของ ตอนอายุ 11 ปี มีอาชีพเข็นของ และหาบของขาย ต่อมาในปี พ.ศ.2504 ได้มาทำงานในบริษัทจำหน่ายสุรา มีโอกาสได้รู้จักกับ จุล กาญจนลักษณ์ เจ้าของธุรกิจสุรา แม่โขงภายหลังได้ทำธุรกิจสุราร่วมกับ เถลิง เหล่าจินดา ใช้ชื่อ สุราทิพย์ขายดิบขายดี จนกระทั่งมีทรัพย์สินพอเข้าเทคโอเวอร์บริษัทสุรามหาราษฏร ซึ่ง ณ ขณะนั้นถือว่าเป็นบริษัทสุรารายใหญ่ได้สำเร็จ


       เมื่อประสบความสำเร็จในธุรกิจสุราและโซดาแล้ว มองเห็นลู่ทางในธุรกิจเบียร์ จึงร่วมลงทุนกับบริษัทผลิตเบียร์จากต้นตำรับเยอรมันอย่าง คาร์ลสเบอร์กก่อตั้งบริษัท เบียร์ไทย(1991) จำกัด โดยผลิตเบียร์ออกจำหน่าย ในตอนหลังเมื่อเริ่มเข้าใจกรรมวิธีการผลิตเบียร์แล้ว ได้ก่อตั้งบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจขึ้นมาพร้อมปรับปรุงสูตรเบียร์ที่ให้มีรสชาติเข้ากับคนไทย สร้างโลโก้รูปช้างหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางมีน้ำพุพุ่งขึ้น ใช้ชื่อว่า เบียร์ช้าง


Photobucket

       ด้วยการตลาดเชิงรุก ผลิตเบียร์ต้นทุนต่ำ รสชาติดี ขายเบียร์พ่วง เหมา 4 ขวด 100 บาท รวมทั้งสโลแกน คนไทยหันหน้าเข้าหากันออกตีตลาดแข่งกับเบียร์สิงห์ ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ มีส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์ที่มากกว่า จนเบียร์สิงห์เกือบเจ๊ง เนื่องจากต้นทุนผลิตเบียร์สูงกว่าไม่สามารถลดราคาแข่งตามเบียร์ช้างได้ จนในที่สุดเบียร์สิงห์แก้ทางด้วยการออกเบียร์เกรดเดียวกับเบียร์ช้าง ใช้ชื่อว่า ลีโอออกมาเน้นดึงลูกค้ากลุ่มเดิมคืนมา และเบียร์สิงห์กลายเป็นจ้าวแห่งเบียร์ตามเดิม ซึ่งกลุ่มลูกค้าเบียร์ส่วนใหญ่เป็นคนอีสาน และแรงงานต่างด้าว


Photobucket

       เมื่อธุรกิจเบียร์ในเมืองไทยเริ่มอื่มตัว ได้โกอินเตอร์ด้วยการส่งออกจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ การเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการให้กับ เอฟเวอร์ตันทีมฟุตบอลชั้นนำของอังกฤษ เป็นการลงทุนที่ได้ผล ชาวต่างชาติเริ่มรู้จักเบียร์ช้างมากขึ้น ทำให้ยอดขายเบียร์ช้างแซงเบียร์สิงห์โดยปริยาย


       ภายหลังจากประสบความสำเร็จเป็นจ้าวแห่งธุรกิจแอลกอฮอล์แล้ว ยังได้เทคโอเวอร์บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ โลจิสติกส์ อีกด้วย เมื่อสร้างรายได้มหาศาลก็อยากให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหลายๆเท่า จึงได้ผลักดันบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจเข้าตลาดหุ้นไทยในปี พ.ศ.2548 แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่มองว่า ธุรกิจแอลกอฮอล์ไม่ควรนำเข้าตลาดหุ้น เป็นการสนับสนุนให้คนไทยผิดศีลมากขึ้น


Photobucket

       เป็นอันว่าเมื่อเข้าตลาดหุ้นไทยไม่ได้ บริษัทไทยเบฟเวอร์เรจก็เลยขอเข้าตลาดหุ้นที่สิงคโปร์แทน ภายหลังก็เลยซื้อแบนด์โออิชิของคุณตัน ภาสกรนทีซะเลย ได้หุ้นโออิชิในตลาดหุ้นไทยไป พร้อมกับกลายเป็นจ้าวแห่งชาเขียว และร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นอีกด้วย เรียกว่า เจ้าพ่อแห่งการเทคโอเวอร์ตัวจริง


********************************************************************************



Photobucket

       เจ้าสัวคนสุดท้ายที่จะพูดถึง คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ เกิดในครอบครัวพ่อค้า บิดาส่งไปเรียนที่ประเทศจีนตั้งแต่สมัยเด็ก ซึ่งบิดาเปิดร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชในนาม เจียไต๋เป็นธุรกิจหลักของครอบครัวเลยทีเดียว เมื่อเรียนจบกลับมาเมืองไทย ช่วงแรกช่วยธุรกิจที่บ้าน แล้วปลีกตัวไปทำงานสหพันธ์สหกรณ์ค้าไข่ และบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และความชำนาญในธุรกิจค้าสัตว์


Photobucket

       เมื่ออายุ 25 ปีได้กลับมาช่วยธุรกิจที่บ้านตามเดิม นำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ ความคิดในการต่อยอดธุรกิจจนสร้างเครือเจริญโภคภัณฑ์ให้มีชื่อเสียง สามารถผูกขาดสินค้าเกษตร ตั้งแต่จำหน่ายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์สัตว์ อาทิเช่น ไก่ , เป็ด , หมู , วัว และกุ้ง เป็นต้น จำหน่ายอาหารสัตว์ – ยารักษาโรคสัตว์ให้เกษตรกร รับซื้อสัตว์เมื่อโตเต็มวัยคืนจากเกษตรกร เมื่อเป็นจ้าวเกษตรในไทยแล้วก็ไม่หยุดที่จะขยายกิจการ ต่อมาขยายธุรกิจเกษตรที่จีนเป็นนักธุรกิจไทยรายแรก


Photobucket

       หลังจากเป็นจ้าวแห่งเกษตร และค้าสัตว์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลกแล้ว มองเห็นหาแหล่งจำหน่ายสินค้าที่บริษัทตนผลิต ในปี พ.ศ.2531 จึงตัดสินซื้อแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น จากญี่ปุ่น เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ถือเป็นการตัดสินใจชาญฉลาดในการหาที่ตั้งจำหน่ายสินค้าในเครือเจริญโภคภัณฑ์ของตัวเอง เริ่มแปรรูปแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นอาหารสำเร็จรูป อาทิเช่น ขนมจีบ ซาลาเปา มังกรหยก, ไส้กรอกสโม๊กกี้ไบรท์ , ขนมปังเลอแปง รวมถึงชิลด์ฟุ้ด อาหารพร้อมรับประทาน


Photobucket

       หลังจากเป็นจ้าวแห่งธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อแล้ว ก็ยังไม่หยุด ได้ลงทุนกับออเรนจ์ บริษัทสื่อสารของอังกฤษ ในการทำธุรกิจเครือข่ายมือถือ แต่สุดท้ายออเรนจ์ไปไม่รอด ขายกิจการในประเทศไทยให้แก่เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ทรูมูฟซึ่งมีรายได้หลักจากค่าบริการโทรศัพท์บ้าน , มือถือ , อินเตอร์เน็ต และช่องเคเบิล ปัจจุบันบริษัททรู คอร์ปเปอร์เลชั่น ที่ลูกชายของเจ้าสัวซีพีดูแลอยู่ ยังไม่รุ่งโรจน์เท่าที่ควร


       สาเหตุที่เจ้าสัวซีพีพุ่งแซงเจ้าสัวทั้งสองไปครองเศรษฐีอันดับ 1 ได้นั้น เพราะเป็น 1 ใน 3 คนแรกที่ผลักดันบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นไทยได้สำเร็จ โอกาสที่ทรัพย์สินจะงอกงายก็มากกว่า หุ้นที่ต้นทุนแค่ 1 บาททั้งสองตัว CPALL ขยับไป 65 เท่า CPF ขยับไป 36 เท่า แบบนี้ไม่พุ่งอันดับ 1 ให้มันรู้ไป  


Photobucket

       เจ้าสัวซีพีมีวิธีสั่งสอนลูกที่น่ายกย่อง ลูกหลานของเจ้าสัวซีพีถึงแม้จะเรียนจบมาสูงแค่ไหน เมื่อมาทำงานภายในบริษัท ต้องเริ่มจากตำแหน่งล่างก่อนๆ ให้รู้จักปรับตัว เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพนักงาน และคนประเมินการทำงานก็เป็นพนักงานอีกนั่นแหละ  ไต่เต้ากันไปเรื่อยๆ กว่าจะได้เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นผลดีอย่างมาก เพิ่มความใกล้ชิดกับพนักงาน ลดช่องว่างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และเข้าใจปัญหา และรู้จักกระบวนการทำงานทั้งหมด



       ข้อคิดที่ได้จากเรื่องราวชีวประวัติของเจ้าสัว มีหลายอย่างที่เป็นประโยชน์

       - เลือกธุรกิจที่คิดว่าตัวเองชอบ และถนัด

       - เรียนรู้ขั้นตอนอย่างผู้ชำนาญ

       - สร้างแบรนด์ หรือสโลแกน ที่จดจำได้ง่ายๆ

       - พัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อย่าปล่อยให้ธุรกิจตายไป อาทิเช่น ยาคูลท์ เป็นต้น

       - เมื่อทำธุรกิจสำเร็จแล้ว มองธุรกิจที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม เมื่อทำแล้วช่วยลดต้นทุนการผลิตลง

       - เมื่ออิ่มตัวในประเทศ หากมีโอกาสให้โกอินเตอร์ เพื่อเพิ่มยอดขาย

       - ผลักดันบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น ช่วยให้ทรัพย์สินงอกงายเพิ่มขึ้นหลายๆ เท่า


********************************************************************************

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตามรอยเศรษฐีไทย และเศรษฐีโลก


       ผมเคยลองคิดเล่นๆ ว่า หากมีเงินทุนจำนวนมาก แล้วทำธุรกิจอะไรที่ทำแล้วมีโอกาสร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้บ้าง เลยค้นคว้าข้อมูลจากอันดับเศรษฐีของโลก และเศรษฐีของไทยดูว่าเค้าทำอะไรกัน ลองมาค้นหาจุดดีจุดเด่นกัน


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก คือ คาร์ลอส สลิม ชาวแม็กซิโก ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสาร ก่อนหน้านี้อยู่อันดับ 3 เพิ่งแซงบิล เบตส์ มาอยู่ในอันดับ 1 ไม่นาน

       เศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือ บิล เกตต์ ชาวอเมริกา ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ บริษัทผลิต และพัฒนาซอฟท์แวร์รายใหญ่ของโลก การเรียนไม่จบไม่ใช่อุปสรรคในการธุรกิจแต่อย่างใด ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ของโลกก็ล้วนแต่ลงระบบปฏิบัติการวินโดว์ของเค้านี่แหละ

       เศรษฐีอันดับ 3 ของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชาวอเมริกา เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาที่เริ่มต้นด้วยเงินเพียงไม่กี่พันบาท จากการที่ลงทุนสไตล์ Value Investor จนประสบความสำเร็จ เขียนหนังสือสอนการลงทุนมากมาย รวมถึงเป็นเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งทำธุรกิจซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในตอนราคาถูก หุ้นของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เป็นหุ้นที่ราคาแพงที่สุดในตลาดหุ้นอเมริกา หุ้นละ 3 ล้านบาทเชียว

       เศรษฐีอันดับ 4 ของโลก คือ เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ ชาวฝรั่งเศส ชื่อนี้หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าเค้านี่แหละเป็นเจ้าของหลุยส์ วิตตอง , ดีออร์ และอื่นๆ อีกมากมายเกี่ยวกับน้ำหอม และเครื่องแต่งกายแบนด์เนม คงช่วยให้นึกออก

       เศรษฐีอันดับ 5 ของโลก คือ อมันซิโอ ออร์เตกา ชาวสเปน ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเสื้อผ้าแบนด์เนม ซาร่า เพิ่งขึ้นมาติดอันดับต้นๆ เป็นครั้งแรก



       หลังจากอ่านที่มาที่ไปของเศรษฐีโลก จะเห็นได้ว่า มีเศรษฐีถึง 2 คน รวยล้นฟ้าจากการลงทุนในธุรกิจกลุ่มสื่อสาร และคอมพิวเตอร์ เพราะคนอเมริกาเน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่วนเศรษฐีอีก 2 คน รวยมาจากธุรกิจแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และน้ำหอม เพราะทางยุโรปเน้นแฟชั่น และเครื่องแต่งกายเป็นพิเศษ ดูอย่างประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น


       ถึงแม้เศรษฐีเหล่านั้นจะไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงเหมือนวอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่มีบริษัทจดทะเบียนเข้าในตลาดหุ้น ประชาชนทั่วไปต่างสนใจอยากร่วมลงทุนในธุรกิจเหล่านั้น ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็สามารถงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว และอีกคนรวยมาจากการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินลงทุนไม่กี่พันบาทก็รวยล้นฟ้าได้ไม่แพ้กัน 


********************************************************************************


       ลองมาดูเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศไทยกัน เป็นใครกันบ้าง แล้วทำธุรกิจอะไร ทำไมเค้าถึงรวยล้นฟ้า


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 1 ของไทย คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ หรือที่หลายคน เรียกว่า เจ้าสัวซีพีทำธุรกิจผูกขาดสินค้าเกษตร อาทิเช่น อาหารสัตว์ , เนื้อสัตว์ , เมล็ดพันธุ์พืช , พืชผักสด , แฟรนไชส์ร้าน 7-11 , ไก่ย่างห้าดาว รวมถึงบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นด้วย ก่อนหน้านี้เคยอยู่ตำแหน่งที่ 3 มาตลอด จนกระทั่งแซงขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ได้ ถือว่า เก่งกาจทีเดียว


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 2 ของไทย คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี หรือที่หลายคน เรียกว่า เจ้าสัวเจริญเจ้าของธุรกิจไทยเบฟเวอเรจ เครื่องดื่มเบียร์ช้าง ถือว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญของเบียร์สิงห์ ถึงเบียร์ช้างจะเข้ามาทีหลัง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการกินส่วนแบ่งตลาด นอกจากการขายเบียร์ในราคาถูกกว่า แล้วยังเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลเอฟเวอร์ตันของอังกฤษอย่างทางการ ถึงว่าเป็นการตลาดที่ชาญฉลาด บริษัทไทยเบฟเวอเรจได้เข้าตลาดหุ้นที่สิงคโปร์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้เทคโอเวอร์แบนด์โออิชิ บริษัทผลิตชาเขียว และร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ของคุณตัน ภาสกรนที อีกด้วย


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 3 ของไทย คือ เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง กระทิงแดง แล้วไปโด่งดังในเมืองนอกในนาม เรดบลูถึงแม้ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังจะมีคู่แข่งมากมาย แต่การผลักดันกระทิงแดงโกอินเตอร์ ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญก็ว่าได้ แม้จะไม่มีหุ้นในตลาดเมืองไทยก็ตามเถอะ


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 4 ของไทย คือ อาลก โลเฮีย ชาวอีนเดียเพียงไม่กี่คนที่ถูกจัดในอันดับเศรษฐีไทย เจ้าของธุรกิจอินโดรามา เวนเจอร์ส ผลิตขวด PET หรือขวดพลาสติกใสที่ใช้บรรจุน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มต่างๆ หลายคนสงสัยลองสังเกต ให้พลิกขวดน้ำเปล่าขึ้นมาลองดู จะเห็นคำว่า “PET” ภายในเครื่องหมายสามเหลี่ยม ปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มโตวันโตคืน แข่งขันกันสูง แล้วผลิตขวดพลาสติกส่งอย่างเดียวยังแทบไม่ทัน แล้วจะไม่รวยไม่ไง


Photobucket

       เศรษฐีอันดับ 5 ของไทย คือ กฤตย์ รัตนรักษ์ หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธุรกิจช่อง 7,  มีเดียออฟมีเดียส์ และปูนซีเมนต์นครหลวง หรือที่หลายคนรู้จัก ปูนตรานกอินทรี ในอดีตเคยเป็นเจ้าของธนาคารกรุงศรีอยุธยามาก่อน



       หลังจากอ่านที่มาที่ไปเศรษฐีไทย จะเห็นได้ว่า มีเศรษฐีถึง 2 คน รวยล้นฟ้าจากการลงทุนในธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่ม ถึงแม้จะถูกปฏิเสธจากการจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น เพราะเป็นธุรกิจที่ผิดศีลก็ตาม อาลกก็เป็นอีกคนที่พลอยรวยเป็นเศรษฐีตาม เพราะได้รับอานิสงส์จากยอดการผลิตขวดพลาสติกสำหรับบรรจุเดรื่องดื่มที่เพิ่มสูงขึ้น ทดแทนการผลิตขวดแก้วที่นับวันจะลดน้อยลง สังเกตได้จากระยะหลังๆ เป็ปซี่ และโค้กเอง พยายามผลักดันน้ำอัดลมที่บรรจุในกระป๋อง และขวดพลาสติกมากขึ้น สาเหตุที่ยอดขายครื่องดื่มในประเทศไทยสูง เพราะประเทศไทยเป็นในแถวโซนร้อน ความต้องการเครื่องดื่มจึงมากตาม


Photobucket

       การทำธุรกิจของเครือซีพีเป็นสิ่งที่น่าสนใจ การทำธุรกิจครบวงจรแบบผูกขาด ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากผลิตวัตถุดิบเอง แปรรูปสินค้าเอง สต็อกสินค้าเอง ขนส่งเอง กำหนดราคาขายเอง และจำหน่ายเอง ช่วยให้มูลค่าของกำไรเพิ่มมากขึ้น ได้แนวความคิดนี้มาจากวอลมาร์ท ร้านขายปลีกชื่อดังของอเมริกา แถมยังจดทะเบียนบริษัทเป็นมหาชนเข้าตลาดหุ้น ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็สามารถงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว แซงหน้าเจ้าสัวเครื่องดื่มทั้งสองไปโดยปริยาย

       ธุรกิจสื่อทั้งช่องโทรทัศน์ เป็นธุรกิจเติบโตได้เป็นอย่างดี รายได้ส่วนใหญ่มาจากโฆษณา เชื่อหรือไม่ว่า โฆษณาที่หลายคนเห็นกันประมาณ 1 นาที เสียค่าโฆษณาเป็นหลักล้าน ยิ่งช่วงที่เป็นละครหลังข่าว และเกมโชว์ชื่อดังที่ผู้ติดตามกันประจำ เรตติ้งสูง ค่าโฆษณาก็สูงตาม แม้แต่ตอนน้ำท่วม เรตติ้งผู้ชมก็สูงขึ้น ติดตามข่าวสารมากขึ้น



       สรุปจะเห็นได้ชัดเจนว่า เศรษฐีหลายคนไม่ได้มีพื้นฐานในด้านการศึกษาที่สูงมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเหล่านั้น ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมาจากการความมุ่งมั่น มองช่องทางในทำธุรกิจ เห็นถึงความต้องการของตลาดทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต และสิ่งหนึ่งที่เขาหลายคนขาดไม่ได้ นั่นก็คือ นอกจากเก่งเรื่องหาเงินแล้ว ยังรู้จักบริหารให้เทรัพย์สินงอกเงยเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายเท่าตัว


********************************************************************************

โอกาส กับ ความสำเร็จ


       ชีวิตของคนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต ประกอบด้วยกัน 2 อย่างหลักๆ ดังนี้


Photobucket

-              การศึกษา เป็นพื้นฐานในการปูทางสู่ความสำเร็จ เมื่อเรียนจบ ได้รับใบปริญญา หรือประกาศนียบัตร ถือว่าเป็นเครื่องการันตีถึงความมุ่งมั่น และความสำเร็จ และเป็นสิ่งเกื้อหนุนในการสมัครงานในตำแหน่งที่เหมาะสมอีกด้วย


Photobucket

-              การทำงาน หรือประกอบอาชีพ เป็นเครื่องพิสูจน์ที่แท้จริงว่าบุคคลนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตหรือไม่ นำความรู้ สิ่งที่ได้เรียนมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ในชีวิต ขึ้นอยู่กับเทคนิค การวางแผนของแต่ละคน


       บางคนเรียนจบมาแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานก็มี เข้ากับงานทีท่ำไม่ได้ก็มี ในขณะที่บางคนเรียนไม่จบ เลิกเรียนกลางคัน แต่กลับดำเนินธุรกิจเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตมากมาย อาทิเช่น กระทิงแดง เบียร์ช้าง เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น


Photobucket

       หากสามารถนำความรู้ หรือสิ่งที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จง่ายขึ้น ความชำนาญเป็นสิ่งที่จำเป็น และสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันที่จะช่วยส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ คือ โอกาส และจังหวะ(Timing) หลายคนเรียกติดปากว่า ถูกที่ ถูกเวลา สำเร็จแน่นอน" 


       ความสำเร็จของของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกิดขึ้นได้อย่างไร ลองมาดูกัน ลองนึกเล่นๆว่า ถ้าหากเรามีโอกาสได้เป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของทีมฟุตบอลทีมนี้อยากอยู่ในช่วงไหน


       ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1878 เมื่อเริ่มก่อตั้งทีมใหม่นั้น ทีมก็ยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก นักเตะก็ยังโนเนมอยู่ จนกระทั่งปีค.ศ.1986 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม พาทีมเข้าชิงหลายถ้วย คว้าแชมป์มากมาย ในช่วงปี ค.ศ.1992 ถึง ค.ศ.2001 เป็นช่วงรุ่งโรจน์ของทีม เพราะคว้าแชมป์ติดต่อกันมาเกือบทุกปี ถือว่าฟอร์มทีมได้ดีที่สุด มีนักเตะมากความสามารถ อาทิเช่น ไรอัน กิ๊กส์ , ปีเตอร์ ชไมเคิล , แกรี่ เนวิลล์ , เดวิด เบ็คแฮม , เอริค ตันโตน่า , รอย คีน , พอล สโคลส์ , แอนดรูว์ โคล , เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ ดไวท์ ยอร์ก เป็นต้น ชื่อนักเตะที่เอ่ยมาเครื่องการันตีความสำเร็จของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเลยทีเดียว


Photobucket

        คำตอบของหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของทีม เรียกว่า จุดสุดยอด(Climax Top) ด้วยนักเตะที่มากความสามารถ ทีมเวิร์ดที่แข็งแกร่ง นำสู่การคว้าแชมป์มากมาย เป็นใครก็อยากร่วมทีมด้วย แน่นอนชื่อของเราก็มีโอกาสแปะให้คนรุ่นหลังๆได้นึกถึง อย่างน้อยก็เคยเตะร่วมทีมกับเดวิด เบ็คแฮม หากเลือกสมัยก่อตั้งทีมใหม่ๆ นักเตะเก่งในทีมยังไม่ค่อยมี ก็ทีมยังไม่โด่งดังเท่าไหร่ หากเลือกสมัยหลังจากปี ค.ศ.2001 ทีมมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว เป็นช่วงที่ต้องรักษาชื่อเสียงให้คงอยู่ บทบาทความโด่งเด่นของนักเตะในทีมก็จะลดลงมากที่เดียวเมื่อเทียบกับช่วงรุ่งโรจน์


       ในการทำงานก็เช่นกัน อยู่ถูกที่อย่างเดียวไม่พอ ต้องอยู่ถูกเวลาด้วย เพื่อที่จะเกิดก้าวกระโดดแห่งความสำเร็จ จนกระทั่งเมื่อถึงจุดสูงสุด หรือความสำเร็จ ต้องรู้จักรักษาความสำเร็จไว้ให้นานทีสุดเท่าที่จะทำได้


********************************************************************************

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน


      ช่วงอายุเป็นตัวแปรที่สำคัญในการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน  ซึ่งมีเกณฑ์ในการแบ่งเงินในการลงทุนออกเป็นส่วนๆ ดังนี้


Photobucket

      - อายุ 20 – 30 ปี จัดอยู่ในช่วงวัยรุ่น สามารถรองรับความเสี่ยงได้สูง ไม่มีภาระเลี้ยงดูครอบครัว ควรให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนทั้งหมด

      - อายุ 30 – 40 ปี จัดอยู่ในช่วงต้นวัยทำงาน สามารถรองรับความเสี่ยงได้ปานกลาง มีภาระเลี้ยงดูครอบครัว ควรให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นน้อยลงประมาณ 50 – 80% ของเงินทุนทั้งหมด และแบ่งไปลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าประมาณ 20 – 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด

      - อายุ 40 – 60 ปี จัดอยู่ในช่วงกลางวัยทำงาน สามารถรองรับความเสี่ยงได้น้อย มีภาระเลี้ยงดูครอบครัว รวมทั้งบุตรอยู่ในช่วงวัยเรียน ควรให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกู้ประมาณ 20 – 60% ของเงินลงทุนทั้งหมด และแบ่งไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 40 – 80% ของเงินลงทุนทั้งหมด

      - อายุ 60 ปีขึ้นไป จัดอยู่ในช่วงปลายวัยทำงาน เข้าสู่วัยเกษียณ มาถึงตอนนี้ไม่สามารถรองรับความเสี่ยงได้แล้ว ควรให้น้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนทั้งหมด


      วิธีการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้น


Photobucket

      - แบ่งเงินสด 10% โดยประมาณของเงินเก็บมาเป็นเงินทุน เพื่อที่ว่าหากพลาดพลั้งไป จะได้มีโอกาสแก้ตัวใหม่ได้

      - เลือกลงทุนในหุ้นระยะสั้น , ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อการลงทุนที่หลากหลาย อาทิเช่น หุ้นพื้นฐานดีก็จริง แต่ใช้เวลานานกว่าราคาจะขยับ และหุ้นบางตัวเล่นเคลื่อนไหวตามจังหวะเป็นรอบก็สามารถแบ่งมาลงทุนได้

      - แบ่งเงินลงทุนเป็นหลายๆ ส่วน อย่าลงทุนในหุ้นตัวเดียวทั้งหมด อาทิเช่น มีเงินลงทุน 100 บาท ลงทุนในหุ้น A ทั้งหมด 100 บาท ปรากฏว่า หุุ้น A ตกลงมาเหลือ 90 บาท เป็นการขาดทุน 10% ภายในครั้งเดียว หากแบ่งเงินลงทุน 100 บาท เลือกลงทุนในหุ้น A จำนวน 50 บาท และเลือกลงทุนในหุ้น B จำนวน 50 บาท ปรากฏว่า หุ้น A ตกลงมาเหลือ 45 บาท แต่หุ้น B กลับขึ้นไป 55 บาท กลายเป็นการลงทุนที่เสมอทุน

      - กระจายการลงทุนในหุ้นหลายกลุ่ม อาทิเช่น หากเลือกลงทุนในหุ้นเฉพาะกลุ่มเกษตร ปรากฏว่าช่วงปีนั้นน้ำท่วม ไม่สามารถเพาะปลูกได้ หุ้นที่ถืออยู่ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง หากเลือกลงทุนส่วนหนึ่งในกลุ่มเกษตร อีกส่วนในกลุ่มห้างสรรพสินค้า ปรากฏว่าช่วงปีนั้นน้ำท่วมไม่สามารถเพราะปลูกได้ แต่ประชาชนมีความต้องการซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค เพื่อเตรียมรับภัยน้ำท่วม จนสินค้าในห้างสรรพสินค้าหมดสต็อก เปลี่ยนจากความโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดีขึ้นมาบ้าง

      - ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราเติบโตในธุรกิจสูง โอกาสกำไรสูงตามด้วย อาทิเช่น จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ดังนั้นให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นโรงพยาบาล ซึ่งมองว่าอย่างน้อยก็เป็น 1 ใน ปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ หรือเลือกลงทุนในกลุ่มเครือข่ายมือถือ เพราะปัจจุบันมองว่าโทรศัพท์บ้านมีความจำเป็นลดลงมาก ประชาชนส่วนใหญ่ซื้อโทรศัพท์มือถือไว้ใช้ส่วนตัวกันมากขึ้นทุกๆ ปี เป็นต้น



********************************************************************************

การลงทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทน


       หลายคนเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ใช่ไหมเอ่ย คราวนี้มาพูดกันถึงประเภทของการลงทุน เผื่อใครเริ่มอยากลงทุนจะได้ไม่ต้องมองหาไกล เมื่อพูดถึงการลงทุน ก็ต้องมีผลตอบแทนเข้ามาเกี่ยว ในการลงทุนบางประเภทมีความเสี่ยงต่ำ หรือแทบจะไม่เสี่ยงเลย ในการลงทุนบางประเภทก็ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการลงทุน เพราะมีความเสี่ยงสูง


Photobucket

       ฝากเงินธนาคาร(Deposit) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือแทบไม่เสี่ยงเลย เพราะโอกาสน้อยที่ธนาคารดังๆ จะปิดกิจการลง ส่วนผลตอบแทนที่ได้รับค่อยข้างน้อยมาก แต่ดีกว่าการเก็บเงินไว้กับตัวเฉยๆ มีดีอย่างเดียว คือ สภาพคล่องสูง เพราะจะถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้


Photobucket

       ประกันภัย และประกันชีวิต(Insurance) เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งแต่ละบริษัทประกันแต่ละบริษัทมีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลา และดอกเบี้ยที่ได้รับแตกต่างกัน จำเป็นต้องศึกษา และเปรียบเทียบรูปแบบประกันชีวิตให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ เหตุผลที่ผมให้ความสนใจก็เพราะว่า เป็นการลงทุนเพียงไม่กี่ประเภทที่มีผลในการคุ้มครองอุบัติเหตุ และชีวิต ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

       คนที่จะทำประกันชีวิตได้ จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการเงินที่ดีพอสมควร เพราะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากเงินเก็บมาจ่ายค่าเบี้ยประกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อครบระยะเวลากำหนด ก็จะได้เงินต้น และดอกเบี้ยคืนในภายหลัง สิ้นปีเอาลดหย่อนภาษีได้อีกทาง เมื่อเปรียบเทียบกับประกันสังคม ถือว่า ดีกว่ามาก เพราะจ่ายประกันสังคมทุกเดือน สุดท้ายจะได้เงินจากประกันสังคม เมื่อลาออกจากที่ทำงานเก่า


Photobucket

       พันธบัตรรัฐบาล(Government Bond) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะผู้ออกพันธบัตร คือ รัฐบาล โดยเมื่อซื้อพันธบัตรไว้ สภาพคล่องต่ำ เพราะต้องถือพันธบัตรรัฐบาลจนกว่าจะครบกำหนด ถึงจะขึ้นเงินกลับมาพร้อมดอกเบี้ย


Photobucket

       กองทุนรวม(Mutual Fund) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงกลาง โดยสามารถซื้อกองทุนรวมได้จากธนาคารชั้นนำ เงินที่เราฝากลงทุนกองทุนจะนำไปลงทุนในหุ้น หรือทองคำ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกองทุนนั้นๆ อาทิเช่น กองทุนรวมพลังงาน ก็จะนำเงินลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเท่านั้น มีโอกาสได้กำไร หรือขาดทุน ขึ้นอยู่การผลลัพธ์การลงทุนในหุ้นหลายตัวๆของกลุ่มนั้น ถ้าแนวโน้มกลุ่มขึ้นก็มีกำไร ถ้าแนวโน้มของกลุ่มแย่ก็มีโอกาสขาดทุน เพราะฉะนั้นก่อนซื้อกองทุนรวมใดๆ พึ่งพิจารณาถึงแนวโน้มกลุ่มเป็นสำคัญ

       การซื้อกองทุนรวมเป็นช่องทางของคนที่มีเงินเก็บ อยากลงทุน แต่ไม่มีเวลาดูแล และไม่มีความชำนาญในการเลือกหุ้น ในกองทุนจะมีนักวิเคราะห์ที่มีความชำนาญควรดูแลจัดการให้ สภาพคล่องสูงสามารถขายหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลา ส่วนผลตอบแทนจะเกิดขึ้นเมื่อกองทุนมีกำไร และได้รับเป็นดอกเบี้ยด้วย สิ้นปีเอาลดหย่อนภาษีได้อีกทาง


Photobucket

       ที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์(Real estate) เป็นการลงทุนต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในเรื่องการหาทำเลที่ดีๆ เป็นหลัก หากไม่มีความรู้ไปซื้อที่ดินตาบอดเข้าก็โชคร้ายไป อาทิเช่น ที่ดินติดถนน มักจะมีราคาสูงลิบในขณะที่ดินในซอยตันราคาก็จะต่ำ สภาพคล่องต่ำมาก เพราะผู้ต้องการซื้ออยู่ในวงจำกัด หากมีที่ดินในทำเลดีๆ ไม่ควรปล่อยไว้เฉยๆ ควรสร้างเป็นบ้าน อาคารให้เช่า ซึ่งจะทำให้มูลค่าของที่ดินเพิ่มขึ้นในระยะยาว โดยธรรมชาติแล้วมูลค่าของที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะเป็นทรัพายกรที่มีอยู่อย่างจำกัด เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกปี


Photobucket

       ทองคำแท่ง(Gold) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ตอบแทนสูง เนื่องด้วยทองคำเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง เมื่อเทียบกับโลหะอื่นๆ รวมทั้งเงินตราด้วย ทองคำ จัดเป็นสินค้าโภณภัณฑ์(Commodity) ชนิดหนึ่งในตลาด เป็นทรัพยากรที่คล้ายคลึงกับที่ดิน ตรงที่ว่ามีอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการในตลาดสูง มีสภาพคล่องสูงกว่าที่ดิน มีตลาดรับรองการซื้อ – ขาย ในทุกแห่งทั่วโลก

       หากต้องการให้การลงทุนทองคำมีความเสี่ยงต่ำ จำเป็นต้องถือไว้ในระยะยาวพอสมควร ปัจจุบันทองคำแท่งเป็นที่นิยมมากกว่าทองคำรูปพรรณ เพราะไม่ต้องจ่ายค่ากำเหน็จ ยกเว้นผู้ที่ต้องการซื้อทองคำรูปพรรณมาใส่เพื่อความสวยงาม


Photobucket

       เงินตราต่างประเทศ(Forex) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงผล ตอบแทนสูง ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในเรื่องสภาวะเศรษฐกิจ และการเงิน เพราะต้องรู้ข้อมูลแนวโน้มของเงินตราในประเทศ และเงินตรานอกประเทศ มีสภาพคล่องสูง ผลตอบแทนที่แน่นอนจะเกิดหลังจากการแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นสกุลเงินบาทแล้ว สกุลเงินที่เป็นที่นิยมในการซื้อ – ขาย อาทิเช่น


     - ดอลล่าร์(Dollar) สกุลเงินของประเทศอเมริกา และอดีตประเทศอาณานิยมของอเมริกา


      - ยูโร(Euro) สกุลเงินของกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป


      -  ปอนด์(Pound) สกุลเงินของประเทศอังกฤษ


      - เยน(Yen) สกุลเงินของญี่ปุ่น


      - หยวน(Yuan) สกุลเงินของประเทศจีน


Photobucket

       หุ้น(Stock) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการวิเคราะห์พื้นฐาน และแนวโน้มของบริษัท มีสภาพคล่องขึ้นอยู่กับขนาด และชื่อเสียงของบริษัท การซื้อหุ้นเปรียบเสมือนการร่วมลงทุนในธุรกิจนั้น ระยะเวลาก็ถือหุ้นมีผลต่อความเสี่ยงที่จะได้รับ ถือสั้นความเสี่ยงสูง ถือยาวความเสี่ยงต่ำ ส่วนผลตอบแทนมีโอกาสได้ถึง 2 ทาง คือ


      - กำไรจากส่วนต่างของราคา(Capital Gain)


      - กำไรจากเงินปันผลของบริษัท(Dividend Yield)


Photobucket

       สัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Future) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด ผลตอบแทนสูงสุด ในบรรดาการลงทุนทั้งหมด ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการวิเคราะห์แม่นยำ ตัดสินใจที่เร็ว เพราะผลกำไร และขาดทุนเกิดขึ้นค่อนข้างไว เรียกว่า รวยข้ามคืน หรือกลายเป็น จนข้ามคืน กันเลยทีเดียว การลงทุนลักษณะนี้เป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน อาทิเช่น ราคาหุ้น ราคาทองคำแท่ง และราคาน้ำมัน เป็นต้น

       ลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เปรียบเสมือนการซื้อสินค้าในอนาคต ณ เวลาในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น
ผมเห็นราคาเนื้อหมูของวันนี้ กิโลกรัมละ 120 บาท ประกอบกับเนื้อหนูกำลังขาดตลาด ทำให้ผมคาดการณ์ว่า ในช่วงเวลาอันสั้น เนื้อหมูอาจจะขึ้นราคา ผมต้องการซื้อเนื้อหมูในราคาถูก จึงตกลงกับพ่อค้าขายหมูว่า ขอซื้อเนื้อหมูในราคา 120 บาท ตลอดอาทิตย์ ถ้าหากพ่อค้าขายหมูตกลง แล้วความเสี่ยงที่ผมจะต้องซื้อเนื้อหมูก็จะหมดไป เพราะผมจะได้เนื้อหมูในราคาเดิมตลอดอาทิตย์ ในทางกลับกัน ถ้าบังเอิญเกิดโรคระบาดในหมู ทำให้ราคาเนื้อหมูตกต่ำกว่า 120 บาท ผมก็ต้องซื้อเนื้อหมูในราคา 120 บาท ดังที่ตกลงกันไว้ เรียกว่า เป็นการลงทุนความเสี่ยงในอนาคต



********************************************************************************

เพิ่มติม




Photobucket

       สัญญาซื้อขายล่วงหน้า มีความเสี่ยง และผลตอบแทนสูงสุด ถ้าไม่ชำนาญจริงๆ อาจหมดตัวได้ง่ายๆ


       หุ้น , ทองคำแท่ง และเงินตราต่างประเทศ มีความเสี่ยง และผลตอบแทนสูง สำหรับหุ้นได้ผลกำไร 2 ทาง , ทองคำแท่ง ถือยาวยังไงก็กำไร และสำหรับเงินตราต่างประเทศ ต้องวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสกุลเงินภายในประเทศ และภายนอกประเทศได้ชัดเจน

       ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวม มีความเสี่ยง และผลตอบแทนกลาง สำหรับที่ดินต้องเลือกทำเลเป็น และสำหรับกองทุนรวม ฝากเงินไว้กับผู้เชียวชาญการบริหารเงินให้ ใช้หักภาษีสิ้นปีได้

       ฝากเงินธนาคาร , ประกันภัย และพันธบัตรรัฐบาล มีความเสี่ยง และผลตอบแทนต่ำสุด สำหรับประกันภัย คุ้มครองชีวิต และทรัพย์สิน รวมทั้งใช้หักภาษีสิ้นปีได้


       หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อมูลที่นำเสนอจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุน เพื่อที่จะเลือกรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองได้ดียิ่งขึ้น การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุน



********************************************************************************

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

อัตราเงินเฟ้อ VS ดอกเบี้ยเงินฝาก

       ความเสี่ยง (Risk) ก็คือ ความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยเราสามารถคาดคะเน หรือคาดเดาล่วงหน้า ซึ่งอาจจะตรง หรือไม่ตรงอย่างที่คิดไว้ก็ได้

       ตัวอย่างเช่น ปกติผมซื้อเนื้อหมู 1 กิโลกรัม ราคา 120บาท ด้วยความเคยชินผมจึงพกเงินไป 120 บาทพอดี ปรากฏว่าเมื่อไปถามราคาเนื้อหมู คนขายบอกว่า ช่วงนี้เนื้อหมูขึ้นราคา กลายเป็น กิโลกรัมละ 125 บาท เราพกเงินมาไม่พอ ไม่ตรงตามที่คิด จัดว่าเป็นความเสี่ยง กรณีเดียวกัน ถ้าคนขายบอกว่า ช่วงนี้เนื้อหมูลดราคา กลายเป็นกิโลกรัมละ 115 บาท เงินที่พกมาเกินความคาดคิด จัดเป็นความเสี่ยงอีกเช่นกัน



Photobucket

       ตอนเด็กผมมีความคิดว่า หากมีเงินเก็บเยอะๆ เอาไปฝากธนาคาร เงินฝากอยู่ครบปลอดภัยดี แถมได้ดอกเบี้ยเงินฝากอีก พอโตมาเริ่มทำงาน มีเงินเก็บก็เอาไปฝากธนาคารไว้ ถึงตอนปลายปีรับดอกเบี้ยเงินฝากแทบตกใจ เพราะดอกเบี้ยเงินที่ได้ไม่ถึง 1% มันช่างน้อยนิดเสียจริงหากเทียบกับจำนวนเงินที่ฝาก


       คราวนี้มาพูดถึงความเสี่ยงของเงินกันบ้าง หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า เงินเฟ้อ อยู่บ่อยๆ ตัวนี้แหละ คือ ความเสี่ยงที่เกิดกับเงินที่เรามีอยู่อย่างต่อเนื่องทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี ตัวอย่างเช่น

       - เมื่อก่อนเคยซื้อน้ำอัดลมขวดละ 5 บาท ตอนนี้มีเงิน 5 บาทซื้อน้ำอัดลมไม่ได้แล้ว เพราะปัจจุบันน้ำอัดลมขวดละ 8 บาท

       - เมื่อก่อนเคยขึ้นรถเมล์ จ่ายค่าโดยสารคนละ 3.50 บาท ปัจจุบันขึ้นรถเมล์ จ่ายค่าโดยสาร 7 บาท แพงกว่าเดิมถึง 2 เท่า


       ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ มูลค่าของเงินจะยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ ผมเริ่มคิดว่ามีวิธีไหนที่จะป้องกันความเสี่ยงของเงินเฟ้อได้บ้าง ทางออกก็คือ ในเมื่อเงินมีสภาพเล็กลงเรื่อยๆ เราลองมองหาทรัพย์สินอื่นๆที่สามารถเติบโตได้ด้วยตัวของมันเอง ยิ่งเติบโตได้มากกว่าอัตราเงินเฟ้อมากเท่าไหร่ยิ่งดี



Photobucket

       จากตารางที่ผมได้จำลองขึ้น สมมุติว่า ผมมีเงินเก็บ(ช่องสีฟ้า) ปีละ 24,000 บาท เมื่อระยะเวลาผ่านไป 20 ปี(ช่องสีแดง) จะเห็นได้ว่า มูลค่าของเงินที่เก็บไว้เฉยๆ หายไปถึง 25% ยิ่งมีเงินเก็บเยอะเท่าไหร่ แล้วทิ้งไว้เฉยๆนานมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งหายเยอะเท่านั้น

       หากนำเงินจำนวนดังกล่าวไปฝากธนาคาร กินดอกเบี้ยเงินฝากล่ะ มูลค่าของเงินหายไป 18% ก็ยังไม่ดี เพราะดอกเบี้ยเงินฝากแบบออมทรัพย์ที่ได้รับเพียง 0.75% เมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ 2.72% มากกว่าถึงเกือบ 4 เท่าของดอกเบี้ยเงินฝากแบบออมทรัพย์เลยทีเดียว เริ่มเครียดแล้วสิ !

       แต่หากผมนำเงินสดซื้อสินทรัพย์รูปแบบอื่นที่มีการเติบโตปีละเพียง 5% และสามารถซื้อกลับมาเป็นเงินสดได้ ผลลัพธ์ที่ได้รับเมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี มาลุ้นดีกว่าว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

       มูลค่าของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่าเงินต้นถึง 28% และมากกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยเงินฝากถึง 56% เลยทีเดียว นี่แหละความมหัศจรรย์ที่ Robert Kiyosaki กล่าวถึง



********************************************************************************

เพิ่มเติม

       เงินเฟ้อ (Inflation) คือ มูลค่าของเงินเล็กลงเรื่อยๆ แต่มูลค่าของสินค้าอุปโภค บริโภคกลับแพงขึ้น


Photobucket

       สาเหตุสำคัญของอัตราเงินเฟ้อเกิดจาก เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด และก็มีทีท่าว่าจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อมีความต้องการบริโภคมากขึ้น ราคาสินค้าจึงเพิ่มขึ้นตามความต้องการ




Photobucket

อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 2.72% ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ : 



Photobucket

อัตราเงินฝากของธนาคาร อยู่ที่ประมาณ 0.75% ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ :


ขอบคุณข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย : http://www.bot.or.th




********************************************************************************