หากมีรายได้แล้ว ใช้เงินที่หามาได้จนหมด ก็จะไม่มีเงินเก็บ ในขณะนั้นเรามองว่า ไม่จำเป็น หรือ ไม่เป็นไร เพราะมีความสามารถในการหารายได้อยู่ แต่มันมีผลในอนาคต อนาคตไม่แน่นอน เงินจำนวนนั้นอาจมีความจำเป็นต้องใช้ เร่งด่วน แล้วเราอาจจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากเพื่อนๆ หรือคนรู้จักมา ในขณะที่อีกหลายคนแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เก็บ เค้าก็จะไม่ลำบากในภายภาคหน้าหากต้องการใช้เงิน
ผมเคยเข้าร่วมการอบรมคอร์ส ปลุกยักษ์ ของโค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ ซึ่งทางบริษัทได้จัดขึ้น โค้ช สิริลักษณ์ พูดถึงการเก็บเงินว่า “เวลาที่เราได้เงินเดือน หรือมีรายได้เข้ามา ให้คิดเสมอๆ ว่า เราต้องการเก็บเงินจำนานเท่าไหร่ และคิดว่าเรากำลังใช้เงินในอนาคตอยู่ ส่วนที่เหลือค่อยเบิกมาใช้จ่าย เพราะค่าใช้จ่ายเยอะกว่าเงินเก็บ”
ผมเคยเจอปัญหาว่า ไม่มีเงินเก็บเลย เพราะใช้จ่ายจนหมด เมื่อตั้งสติได้ก็นั่งนึกทบทวนว่าจะแก้ไขอย่างไรดี เราเคยเรียนทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย มาก็เลยลองทำบัญชีสัก 1 เดือนดูก่อน ผม ทุกวันกลับจากที่ทำงานมาก็นึกว่า วันนี้เราใช้จ่ายอะไรบ้าง พอนึกออกก็กรอกใส่ไฟล์ Excel เก็บไว้ พอครบ 1 เดือนก็มาเปิดดูว่า มีตอนไหนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไป ส่วนไหนลดได้ก็ลดลง
พอเริ่มมีเงินฝากธนาคารมากขึ้นหน่อย มีบัตร ATM พกติดตัว ทำให้การใช้เงินสะดวกสบาย ผมกดเงินจากตู้ ATM หลายๆครั้งต่อเดือนถี่มาก ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมในการกดเงินจากตู้ ATM โดยลองคำนวณดูในบัญชีรายรับ – รายจ่ายดูว่า แต่ละเดือนใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ แล้วค่อยกดเงินจากตู้ ATM เพียงครั้งเดียว อาจจะมีบ้างที่กดรอบ 2 แต่ก็น้อยครั้ง
การเก็บเงินของผมจะแบ่งเงินเป็น 3 ส่วนด้วยกัน แน่นอนก้อนแรก คือ เงินที่ต้องการเก็บ ก้อนที่สองให้ทางบ้าน และก้อนสุดท้าย คือ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว บางครั้งค่าใช้จ่ายเยอะก็ไปดึงเงินเก็บมาบ้าง แต่ไม่ทุกเดือน ใครจะเอาวิธีของผมไปใช้บ้างก็ยินดีครับ ถือว่าแชร์ประสบการณ์กัน
ส่วนตัวผมมองว่าการใช้บัตร ATM และบัตรเครดิต เป็นดาบ 2 คม
- ข้อดี ใช้ง่าย สะดวกสบาย ไม่ต้องพกเงินสดครั้งละมากๆ แถมบัตร Credit มีแต้มสะสมด้วย หลายคนบริหารการหมุนเงินในบัตรเครดิตได้ดีก็สามารถกู้ได้ครั้งละมากๆ เป็นผลดีในการทำธุรกิจ
- ข้อเสีย ทำให้ติดนิสัยฟุ่มเฟื่อย เป็นหนี้เป็นสิน ไม่มีเงินเก็บ อาจกลายเป็น บัตรสร้างหนี้ ได้
********************************************************************************